เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 68 ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดงานเนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปี (TJA 70th Anniversary Talk) โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ THAILAND VS GLOBEL โอกาสและความท้าทายในภูมิทัศน์โลก ว่า ผลกระทบจากระเบียบโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนผู้นำมหาอำนาจ อย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็เป็นปัญหาแล้ว ดั้งนั้น การเปลี่ยนแปลงของประเทศมหาอำนาจที่มีการเปลี่ยนผู้นำ ส่งแรงสะเทือนไปทั่วภูมิภาค และกำลังกำหนดทิศทางใหม่ให้กับเศรษฐกิจโลกด้วย รวมถึงการเมืองระหว่างประเทศ และความมั่นคงในแต่ละภูมิภาค
นายภมิธรรม กล่าวอีกว่า ผลของความเปลี่ยนแปลงจะทำให้แต่ละประเทศต้องเผชิญกับการเฝ้าระวัง การพิจารณาถึงปัจจัยเสี่ยงด้านต่างๆ และประคองจุดยืนของประเทศให้มีความสมดุล ขณะเดียวกันมีเสถียรภาพ มีการสร้างความเข้มแข็งในการจัดการปัญหาต่างๆ ของประเทศ เพื่อให้เกิดความมั่นคง ท่ามกลางพลวัตรที่เปลี่ยนแปลงไป รัฐบาลไทยตระหนักดีถึงปัญหา ข้อเท็จจริง และเรากำลังดำเนินนโยบายที่สมดุล เพื่อช่วงชิงโอกาสและรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประเทศไทย

“การกลับมาของทรัมป์ มีผลสะเทือนถือเป็นจุดเปลี่ยนอย่างยิ่งของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะนโยบายเรื่อง American First กำลังถูกผลักดันอย่างเข้มข้น สหรัฐฯ ลดบทบาทในระบบพหุภาคี และหันมาเน้นการเจรจากับทวิภาคีมากขึ้น ใช้มาตรการภาษีนำเข้านโยบายกีดกันทางการค้า เป็นเครื่องมือหลักในการต่อรองกับประเทศอื่นๆ ทำให้เราอาจเผชิญเงื่อนไขที่เข้มงวดมากขึ้น ทั้งการลดดุลการค้า การลดการลงทุน แม้แต่การลดความร่วมมือทางการเมืองและความมั่นคง” นาภูมิธรรม กล่าว
ความขัดแย้งทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ระหว่าง สหรัฐฯ และ จีน ก็กำลังรุนแรงขึ้นอีกครั้ง ตนไปในทุกเวทีประเด็นหนึ่งที่ต้องคุยคือความขัดแย้งทางทะเลจีนใต้ ทะเลเกาหลี ในอาเซียน ภูมิภาคต่างๆ เป็นการเปลี่ยนแปลงทีเกิดขึ้นจากมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ต้องทำความเข้าใจ และดำเนินการ แก้ปัญหากับมัน
ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อห่วงโซ่อุปทานของโลก ผลักดันให้บริษัทข้ามชาติจำนวนมากต้องปรับตัวกระจายฐานการผลิตมายังภูมิภาคอื่นๆ โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ไทยเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจบีบให้ไทยต้องเลือกข้าง

“แต่ประเทศไทยเป็นประเทศเล็กและยืนยันจุดยืนมาตลอดว่าเราเป็นมิตรกับทุกประเทศ เรารักสงบ และมีจุดยืน พยายามให้มหาอำนาจแต่ละฝ่ายพยายามใช้ความอดทนอดกลั้น ในการแก้ปัญหาอย่างสันติ เพราะสงครามที่เกิดขึ้นไม่อาจสร้างผลดีให้กับมนุษยชาติได้ สงครามมีแต่ทำลาย เราต้องบริหารความสมดุลของส่วนต่างๆ ให้ได้”
นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ในวิกฤตย่อมมีโอกาสไทยสามารถใช้จังหวะนี้ให้เป็นประโยชน์ ในการเสริมสร้างความแข่งขัน และใช้ตำแหน่งที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด และต้องเร่งดึงดูดการลงทุนจากบริษัทที่กำลังหาฐานการผลิตใหม่ พร้อมกับพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับความต้องการของโลก ไทยต้องเร่งการขับเคลื่อนและเร่งการพัฒนาให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ร่วมผลักดันให้ประเทศต่างๆ ร่วมแสวงหาโอกาสทางยุทธศาสตร์ร่วมกัน โดยเฉพาะอาเซียน เป็นโอกาสสร้างอำนาจการต่อรอง ลดการพึ่งพามหาอำนาจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
“การขยายความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียนถือเป็นโอกาสที่จะสร้างอำนาจต่อรอง ประเทศไทยประเทศเดียวไม่มีปัญญาไปสร้างอำนาจต่อรอง เพราะเป็นประเทศเล็กมาก แต่จุดยืนที่เรากำลังยืนอยู่ และภูมิรัฐศาสตร์ที่เรายืนอยู่เรามีความสำคัญ” นายภูมิธรรม กล่าว
นายภูมิธรรม กล่าวว่า เราไม่สามารถอยู่โดดเดี่ยวหรือพึ่งพามหาอำนาจภายนอกเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ไทยต้องร่วมผลักดันอาเซียนให้เป็นองค์กรที่เข้มแข็งและสามารถกำหนดอนาคตของภูมิภาคนี้ได้ด้วยตัวเอง บทบาทความร่วมมือของอาเซียนสามารถถ่วงดุลกับมหาอำนาจได้ ไม่ให้ความขัดแย้งถูกนำไปขยายตามเจตน์จำนงของประเทศมหาอำนาจที่มีผลประโยชน์แตกต่างกัน

รัฐบาลมุ่งมั่นทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่แข็งแกร่ง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และขีดความสามารถของประชาชน รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมที่ทุกคนเติบโตและแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม สร้างระบบเศรษฐกิจที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น และสร้างสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจเพื่อให้ไทยสามารถรักษาบทบาทบนเวทีโลกอย่างมีเสถียรภาพและมีเกียรติภูมิ
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ในมิติด้านเศรษฐกิจ ได้ดำเนินนโยบายเชิงรุกดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพอย่างมีนัยยะสำคัญ ในปี 2567 ประเทศไทยได้รับการขอรับการส่งเสริมการลงทุน 1.3 ล้านล้านบาท ถือว่าสูงสุดในรอบ 10 ปี เป็นผลมาจากนายกฯ เยือนต่างประเทศมากกว่า 14 ประเทศ พบผู้บริหารเอกชนชั้นนำ 40 กว่าแห่ง ดึงความเชื่อมั่นการลงทุนมายังประเทศไทย และยังส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย ดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ไฟฟ้า ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติจำนวนมาก โดยเฉพาะการลงทุนศูนย์ข้อมูล data center การบริการคลาวด์เซอร์วิส มูลค่ากว่า 2.4 แสนล้าน ที่ดึงเงินเข้ามาพัฒนาประเทศ
สิ่งเหล่านี้สะท้อนความมุ่งมั่นรัฐบาลในการพลิกโฉมเศรษฐกิจไทยสู้ สู่เศรษฐกิจใหม่และสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั่วโลก นี่คือความพยายามของเราในการรับมือความเปลี่ยนแปลง.