จากที่ปรากฏข้อมูลในสื่อโซเชียลมีเดียว่ามีการยื่นฟ้องนายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือวัทธิกร หรือมังกร ใสงาม อดีตพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี กับพวกรวม 10คน ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 เป็นคดีทุจริต 26โครงการ ซึ่งศาลพิพากษาให้จำคุกกว่า 130 ปี แต่รอการลงโทษ ทำให้จำเลยกับพวกไม่ต้องรับโทษจำคุก ทั้งที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดว่าร่ำรวยผิดปกติและใช้อำนาจเอื้อประโยชน์แก่ตนเอง จนถูกไล่ออกจากราชการนั้น

เมื่อวันที่ 4 มี.ค. นายรัฐวิชญ์ อริยพัชญ์พล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวว่า คดีนี้อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือวิทธิกร หรือ มังกร ใสงาม ขณะเกิดเหตุเป็นเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตำแหน่งพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี เป็นจำเลยที่ 1 พร้อมกับจำเลยที่ 2-10  ซึ่งมิได้เป็นเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่ล้วนเป็นนิติบุคคลและบริวารผู้ใกล้ชิดกับจำเลยที่ 1และร่วมกับจำเลยที่ 1 จัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดเพื่อยื่นประมูลงานจัดนิทรรศการ งานแสดงสินค้า งานประชาสัมพันธ์ และงานอื่น ๆ ของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี รวมทั้งหน่วยงานราชการอื่น ๆ ในลักษณะสมยอมราคากันรวม ๒๖ สัญญา โดยห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวไม่ได้มีวัสดุอุปกรณ์จัดสถานที่ ไม่มีอุปกรณ์จัดแสงสีเสียง ไม่มีอุปกรณ์เพื่อการแสดงและไม่มีลูกจ้างหรือทีมงานที่จะใช้จัดงานโดยตรง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา86,91,151,152,157,264,268 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา4,7,10,11,12 และขอให้นับโทษต่อสำหรับจำเลยบางราย

จำเลยทั้งสิบให้การรับสารภาพ แต่เนื่องจากความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 11,12 เป็นความผิดที่มีกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่5ปี ขึ้นไป โจทก์จึงนำพยานหลักฐาน

เข้าสืบประกอบคำรับสารภาพ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา176

ข้อเท็จจริงในสำนวนปรากฏว่า จำเลยที่ 1 วางเงินชดใช้ค่าเสียหายให้แก่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี 3,448,250 บาท ส่วนจำเลยที่ 2และที่ 3 วางเงินชดใช้ค่าเสียหายให้แก่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี คนละ1,725,000 บาท รวมเป็นเงิน 6,898,250บาท

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 3 รับฟังคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสิบ ประกอบกับพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบประกอบคำรับสารภาพ แล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง รวม 26สัญญา (26กรรม/กระทง) ให้จำคุกกระทงละ 5ปี 3เดือน และปรับกระทงละ 102,000 บาท รวมจำคุก 130ปี 78เดือน และปรับ 2,652,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 65 ปี 39เดือน และปรับ 1,326,000บาท โดยในกรณีกระทำความผิดหลายกระทง หากกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 10ปี ขึ้นไป ให้จำคุกไม่เกิน 50ปี จึงให้จำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 50ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 10 ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่เป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงระวางโทษลดหลั่นกันไปตามจำนวนกรรมและวาระที่กระทำความผิด

ในการพิจารณาว่ามีเหตุสมควรรอการลงโทษจำเลยทั้งสิบหรือไม่ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 3 พิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนคดี และคำนึงถึงหลายปัจจัย ได้แก่ การรู้สำนึกในการกระทำความผิดของจำเลยซึ่งคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ความถูกต้องครบถ้วนในการปฏิบัติตามสัญญาของจำเลย ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ราชการภายหลังการเข้าทำสัญญาของจำเลย การได้รับประโยชน์จากการกระทำความผิด ความพยายามบรรเทาผลร้ายโดยวางเงินชดใช้ค่าเสียหายให้แก่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี พฤติการณ์ความร้ายแรงแห่งคดี ประวัติของจำเลย และโอกาสในการแก้ไขปรับปรุงตนเองให้เป็นพลเมืองดีในอนาคต

โดยเมื่อพิจารณาปัจจัยทั้งหมดนี้แล้ว จึงเห็นสมควรให้รอการลงโทษจำเลยไว้คนละ 5 ปี แต่เพื่อให้หลาบจำ เห็นควรวางโทษปรับอีกสถานหนึ่ง และกำหนดเงื่อนไขการคุมประพฤติอย่างเคร่งครัดมีกำหนด 3ปี ให้จำเลยทุกคนไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3เดือน ตลอดระยะเวลาที่คุมความประพฤติ ให้จำเลยทุกคนทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์เป็นเวลาคนละ 72ชั่วโมง และให้ละเว้นการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดในทำนองเดียวกันอีก หากจำเลยผิดเงื่อนไขให้พนักงานคุมประพฤติรายงานศาลเพื่อเปลี่ยนโทษจำคุกที่รอไว้เป็นโทษจำคุกทันที

อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด เนื่องจากภายหลังอ่านคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 3แล้ว โจทก์ขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ถึงวันที่ 24 มี.ค.2568กรณีเป็นเรื่องที่โจทก์จะพิจารณายื่นอุทธรณ์หรือไม่ ต่อไป

นอกจากนี้ นายรัฐวิชญ์ อริยพัชญ์พล ยังอธิบายต่อไปเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การ “รอการลงโทษ”

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ไว้ ดังนี้

1.การจะใช้ดุลพินิจรอการลงโทษจำเลยรายใด อันดับแรกจะต้องพิจารณาก่อนว่า คดีนั้นศาลจะลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 5ปี หรือไม่ หากโทษที่ศาลจะลงแก่จำเลยมีกำหนดเกินกว่า 5ปี ย่อมไม่สามารถใช้ดุลพินิจรอการลงโทษได้ แต่หากโทษที่ศาลจะลงแก่จำเลยมีกำหนดไม่เกิน 5ปี ศาลย่อมมีดุลพินิจพิจารณาต่อไปว่าจะรอการลงโทษหรือไม่ โดยมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า จำเลยต้องไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือ หากเคยรับโทษจำคุกมาก่อนต้องเป็นกรณีที่เป็นการกระทำโดยประมาท หรือลหุโทษ หรือโทษจำคุกไม่เกิน 6เดือน หรือ หากเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน แต่พ้นโทษมาแล้วเกินกว่า 5ปี แล้วมากระทำผิดอีก โดยความผิดครั้งหลังเป็นการกระทำโดยประมาท หรือลหุโทษ จึงจะอยู่ในเงื่อนไขที่รอการลงโทษได้

2.ในกรณีคดีที่เป็นข่าวนี้ เป็นกรณีที่จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระ และศาลจะเรียงกระทงลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ซึ่งหากต้องพิจารณาว่าจะรอการลงโทษจำเลยได้หรือไม่ จะต้องแยกพิจารณาโทษที่ศาลจะลงแก่จำเลยจริง ๆ เป็นรายกระทงความผิดไปหากมีเหตุบรรเทาโทษก็ให้พิจารณาลดโทษรายกระทงให้เสร็จสิ้นเสียก่อน จึงจะนำมาพิจารณาว่าโทษจำคุก

แต่ละกระทงมีกำหนดเกิน 5ปี หรือไม่ เช่นในคดีนี้ ศาลจะลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 รวม 26 กระทง กระทงละ 5ปี 3เดือน โดยศาลลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งเนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพทุกกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ดังนั้น จึงเท่ากับว่าในแต่ละกระทงคงลงโทษกระทงลง 2ปี 7เดือน 15วัน ซึ่งไม่เกิน 5ปี จึงอยู่ในเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษได้ทุกกระทง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 เทียบเคียงกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1594/2523 ,789/2524,1102/2525

3.แม้จะอยู่ในเกณฑ์ที่ศาลอาจใช้ดุลพินิจในการรอการลงโทษได้ แต่ก่อนที่ศาลจะใช้ดุลพินิจรอการลงโทษ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา56 ก็วางหลักเกณฑ์ให้ศาลพิจารณาข้อเท็จจริงอีกหลากหลายปัจจัย เช่น อายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ และสิ่งแวดล้อมของผู้นั้น หรือสภาพความผิด หรือการรู้สึกผิด และการพยายามบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้น หรือเหตุอื่นอันควรปราณี ดังนั้น ศาลจึงต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ปรากฏในสำนวนคดีประกอบกันก่อนใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าจะรอการลงโทษให้แก่จำเลยรายใดหรือไม่ ไม่ได้พิจารณาจากปัจจัยหนึ่งปัจจัยใดเป็นการเฉพาะ