เมื่อเวลา 11.55 น. วันที่ 4 มี.ค. ที่รัฐสภา นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคเป็นธรรม กล่าวถึงการผลักดันผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับไปยังประเทศจีน ว่า วันนี้ตนมีจดหมายมาแสดงซึ่งเขียนโดยชาวอุยกูร์คนหนึ่ง ซึ่งตนยืนยันว่ากระดาษจดหมายฉบับนี้ สามารถหาได้จากกรมราชทัณฑ์ และมีลายน้ำ อีกทั้งจดหมายฉบับนี้ออกมาจากกรมราชทัณฑ์อย่างถูกต้องตามกฎระเบียบกรมราชทัณฑ์ และตนได้รับจดหมายดังกล่าวมาจากผู้ต้องกักของกองกำกับการ 1 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) สำหรับสาระสำคัญไม่ใช่กระดาษ แต่เป็นรัฐบาลที่จำเป็นต้องมายืนยันกับภาพลักษณ์ของประเทศว่าเราไม่ได้ผลักดัน และยึดมั่นในมาตรฐานสากลในการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยตามกฎหมายต่างๆ ที่เรามี รวมทั้งการทำงานของรัฐบาลไทย ต้องไม่ผิดหลักกฎหมายภายในประเทศ รวมถึงกรอบอนุสัญญาต่างๆ ภายนอกประเทศที่เราให้สัตยาบันไว้ ทั้งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การซ้อมทรมาน หรือการอุ้มหาย ย้ำว่ารัฐบาลต้องยืนยัน ไม่ใช่ไปถามกรมราชทัณฑ์ ว่าฉบับนี้เป็นจดหมายจริงหรือปลอม
“จดหมายฉบับนี้มีการเขียนถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าพวกเขาถูกแยกจากครอบครัวมาเป็นเวลากว่า 10 ปี หากเป็นท่านจะรู้สึกอย่างไร และท่านก็เพิ่งได้รับการกลับมารวมครอบครัวกับบิดาของท่าน ซึ่งชาวอุยกูร์เพียงสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์คนหนึ่ง หากมีผู้มีอำนาจใดสามารถทำให้พวกเขารวมครอบครัวได้ จะเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน”นายกัณวีร์ กล่าว
เมื่อถามว่ากรณีที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ระบุว่าการผลักดันครั้งนี้เป็นการป้องปรามการก่อการร้ายที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นายกัณวีร์ กล่าวว่า มันคนละเรื่องกัน กระบวนการต่างๆ อยู่ในกระบวนการยุติธรรม แต่ผู้ต้องหาก็อยู่ในเรือนจำ รวมทั้งมีการสอบพยานกว่า 170 ปาก ดังนั้น การแก้ไขปัญหาโดยการผลักดันชาวอุยกูร์ออกไป เป็นการป้องปรามเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตนว่ามันไม่ใช่ ทั้งนี้ หากประเทศไทยไม่สามารถยึดมั่นตามมาตรฐานสังคมได้ จะมีข้อครหาและคำถามจากเวทีระหว่างประเทศ ว่าประเทศไทยไม่สนับสนุนเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนหรือมนุษยธรรมหรือไม่ ตนได้ตั้งข้อสังเกตว่าการผลักดันชาวอุยกูร์ครั้งนี้ เป็นการพูดคุยกันระหว่างนายกฯ กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อีกทั้งช่วงเวลานี้ เป็นการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์
นายกัณวีร์ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ชาวอุยกูร์ต้องการจะกลับบ้านนั้น ตนไม่เคยได้ยินว่าเขาต้องกลับบ้าน ขณะเดียวกัน จากที่มีกระแสข่าวจากสื่อต่างๆว่าเมื่อเดือนม.ค.2568 มีชาวอุยกูร์กว่า 40 คน อดข้าวประท้วง 19 วัน หลังจากมีความเป็นไปได้ที่จะถูกผลักดันกลับประเทศจีน แต่เขาหยุดอดข้าวประท้วงเมื่อปลายเดือน ม.ค.2568 หลังจากภาคประชาสังคมส่งข้อความเข้าไปในห้องกัก สตม.ว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายใดๆ ในการผลักดันชาวอุยกูร์กลับไปยังประเทศจีน แต่เมื่อปลายเดือน ก.พ.2568 รัฐบาลไทยกลับบอกว่าชาวอุยกูร์ทุกคนสมัครใจกลับไป ดังนั้น หากมองในความเป็นจริงแล้ว ไม่สามารถเป็นไปได้ ฉะนั้นย้ำว่ารัฐบาลต้องออกมายืนยันกับเวทีโลกว่าประเทศไทยไม่มีการผลักดันให้คนกลับไปสู่การประหัตประหารอีกครั้ง หากมีการผลักดันจริงๆ ไทยต้องยอมรับกับสิ่งที่ได้ตัดสินใจ