เมื่อวันที่ 3 มี.ค. คณะรัฐมนตรีเลื่อนประชุมขึ้นมา 1 วัน เพราะ “นายกฯ อิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะต้องเดินทางไปยังกรุง เบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เพื่อเข้าร่วมงาน ITB Berlin 2025 ระหว่างวันที่ 3-8 มี.ค. 2568 ซึ่งเป็นงานมหกรรมส่งเสริมการขายทางการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก และพบทีมไทยแลนด์

ก่อนการประชุมผู้สื่อข่าวถามกรณี “เสี่ยโอ้ง” เนวิน ชิดชอบ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ระบุว่าการจัดแข่งขันโมโตจีพีปี 2026 จะเป็นปีสุดท้าย เนื่องจากการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) และรัฐบาลจะไม่สนับสนุนงบประมาณต่อสัญญา นายกฯ อิ๊งค์ ตอบว่า จะให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและเสนอตัวเลข ผลดีต่อประเทศ ทุกโครงการถ้าเป็นประโยชน์กับประเทศ กับประชาชนหมู่มาก ก็คงต้องทำต่อแน่นอน จะมองว่าเป็นการเมืองก็ได้ แต่ขอมองในเรื่องของธุรกิจเรื่องของเงินแล้วกันว่าจะเข้าประเทศมากน้อยแค่ไหน

เมื่อประชุม ครม.เสร็จ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงการเตรียมตัวรับศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯ อิ๊งค์ อุบข้อมูลที่เตรียมไว้ บอกแค่ว่าข้อเท็จจริงตัวเลข ซึ่งเป็นข้อมูลที่จับต้องได้
“ส่วนที่ฝ่ายค้านตั้งหัวข้อเรื่องภาวะผู้นำก็จะต้องชี้แจง ภาวะผู้นำต้องให้ประชาชนตัดสิน เราไม่อยากไปชี้นิ้วว่าใครเป็นผู้นำหรือไม่เป็นผู้นำในแบบของเรา ถ้าจะว่าใคร ต้องเป็นผู้นำให้ได้ก่อนแล้วค่อยพูดถึงคนอื่น เรื่องนี้เป็นเวทีที่ดีที่จะได้ทำให้ประชาชนเข้าใจในข้อมูลที่แท้จริงและเข้าใจความเป็นดิฉันด้วย ซึ่งเป็นนายกฯ Gen Y (เกิดช่วง 2523-2540 มีอิสระทางความคิด เริ่มเข้าถึงเทคโนโลยีสื่อสาร ชอบทำงานเป็นทีม มีเป้าหมายที่ชัดเจน) ก็อยากให้ทุกคนเข้าใจว่าบางทีเรายังไม่เคยมีนายกฯ Gen Y ก็จะได้เข้าใจซึ่งกันและกัน”
ก็นับว่าเป็นการตอบโต้ที่แซ่บอยู่ “ถ้าจะว่าภาวะผู้นำใคร ก็เป็นผู้นำให้ได้ก่อนแล้วค่อยพูดถึงคนอื่น”

“บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ฝ่ายค้านไม่พอใจที่รัฐบาลจะให้เวลาเพียงวันเดียวว่า เพิ่งทำงานมาประมาณ 5 เดือน และจะอภิปรายนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว คงไม่มีอะไรให้อภิปรายมาก ไม่เช่นนั้นทำไมไม่อภิปรายรัฐมนตรีทุกคน ถ้าเป็นอย่างนั้นจะเอา 5 วันก็ให้ได้ อย่าใช้เวทีนี้มาประลองฝีปาก ที่ว่าปิดปากฝ่ายค้านก็พูดกันไปเรื่อย อภิปรายเท่าไรก็ไปตกลงกันในสภา

นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประธานวิปรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ยืนยันอภิปรายวันเดียว ปิดเที่ยงคืนก็น่าจะเพียงพอ ที่ฝ่ายค้านบอกว่าถ้าไม่ให้ 5 วัน ก็ถือว่าใจแคบ ก็รอให้ฝ่ายค้านเป็นรัฐบาลก่อน ค่อยมาให้ 5 วัน หรือ 10 วัน รัฐธรรมนูญและข้อบังคับเขียนไว้ชัดเจนจะอภิปรายถึงกระทรวงไหนก็แล้วแต่ คนที่รู้ดีที่สุดคือเจ้ากระทรวง นายกฯ สามารถใช้ข้อบังคับ บอกให้รัฐมนตรีลุกขึ้นมาตอบได้ในเรื่องนั้นๆ

อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นที่สนใจ คือ กฎหมายกาสิโน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุม ครม.ถึงความคืบหน้า ร่าง พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ปี พ.ศ. … หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ว่า เรื่องนี้ผ่านการทบทวนจากคณะกรรมการกฤษฎีกามารอบหนึ่งแล้ว ต้องรับฟังความเห็นจากสาธารณะ จึงขอเวลาอีกสักพักหนึ่งก่อนเข้าสู่ ครม.เพื่อพิจารณาอีก 2 สัปดาห์ แล้วจึงเสนอสู่สภาต่อไป

“รมช.หนิม” จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า ได้หารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกา ในส่วนของเงื่อนไขที่กำหนดให้คนไทยที่เข้าไปเล่นในกาสิโนต้องมีเงินในบัญชี 50 ล้านบาท ต่อเนื่อง 6 เดือน ปรับเปลี่ยนใหม่โดยเอาเงื่อนไขนี้ออก เปลี่ยนเป็นกำหนดว่า คนไทยที่จะเข้าเล่นในกาสิโนได้ต้องมีการยื่นแบบชำระภาษีย้อนหลัง 3 ปี ส่วนเรื่องของการเก็บค่าเข้าเล่นในกาสิโนยังเก็บ 5,000 บาท ตามเงื่อนไขเดิม
“กระทรวงการคลังไปดูข้อมูลแล้ว พบว่า บัญชีที่มีเงินเกิน 50 ล้านบาทในไทย มีเพียงแค่ 10,000 บัญชี ถ้ากำหนดแบบนั้นก็เท่ากับว่า ผลักให้คนที่ต้องการเล่นกาสิโนไปเล่นในที่อื่น เช่น ประเทศเพื่อนบ้านหรือยังเล่นพนันผิดกฎหมาย จึงมีการแก้ไขในเรื่องนี้”

ส่วนความคืบหน้าคดีฮั้วเลือก สว. พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณี นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา แจ้งในที่ประชุม กคพ. เมื่อวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่าดีเอสไอไม่มีอำนาจในการรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษ ว่า นายปกรณ์ไม่ได้พูดแบบนี้ในการประชุมวันดังกล่าว แต่พูดหลักการว่าไม่อยากให้แทรกแซงองค์กรอิสระ ผู้ทรงคุณวุฒิก็ตอบแล้วว่าเรื่องนี้เป็นคนละส่วน ให้ดีเอสไอไปดูให้ละเอียด เพราะในความผิดอาญาหรืออื่นๆ เป็นเรื่องของดีเอสไอ เชื่อว่าการทำงานจะไม่มีปัญหา

ที่รัฐสภา กลุ่มตัวแทนผู้สมัคร สว.กว่า 30 คน ทั้งกลุ่ม สว.สำรอง และผู้สมัคร สว.อื่นๆ นำโดย นายอัครวัฒน์ พงศ์ธนาชลิตกุล สว.สำรอง รวมถึงภาคประชาชน เข้ายื่นหนังสือต่อ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ผ่านนายมุข สุไลมาน เลขานุการประธานสภา เพื่อให้สอบจริยธรรม สว. ที่ร่วมลงชื่อพิจารณาไต่สวนและดำเนินการกับ รมว.ยุติธรรม และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ ข้อหากระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และจะเอาผิดตาม ป.อาญา ม. 157 การกระทำเช่นนี้ของ สว. กำลังขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ อย่างไร
“ในเอกสารแนะนำตัว (แบบ สว.3) มีการเขียนหมายเลขโพยอยู่ด้านหลัง เมื่อถึงเวลาให้เข้าคูหา มีการห้ามนำเอกสารใด ๆ เข้าไป แต่มีผู้ตรวจการเลือกตั้งรายหนึ่ง พบพฤติกรรมว่ามีการอนุญาตให้นำเอกสาร แบบ สว.3 เข้าในพื้นที่การเลือก จาก นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. เมื่อแจ้งกับ กกต. ในคืนเดียวกัน แต่ไม่มีผลอะไร ผู้ตรวจฯ จึงไปร้องผู้ตรวจการแผ่นดินและดีเอสไอ”

ที่ห้องประชุม 1 ชั้น 1 ดีเอสไอ ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีดีเอสไอ ประธานอนุกรรมการกลั่นกรองด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศและอาชญากรรมพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอทั้งหมด 9 ราย และ 4 ผู้แทนหน่วยงาน อันประกอบด้วย สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กรณีฮั้วเลือก สว.
ภายหลังประชุมม ร.ต.อ.สุรวุฒิ กล่าวว่า กรรมการทุกคนได้เห็นเป็นเอกฉันท์ตรงกันว่า มีความผิดอาญาเกิดขึ้นตาม ป.อาญา ม.209 (อั้งยี่) ม.116 (ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ) พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ม.77 (1) และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ซึ่งมีลักษณะเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (ก) – (จ) แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 เนื่องจากมีผลกระทบเป็นวงกว้าง ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีต่อประชาชน
“จำเป็นที่จะต้องนำเสนอต่อบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ในวันที่ 6 มี.ค.นี้ เพื่อให้รับเป็นคดีพิเศษทั้ง 2 กรณี โดยกรณีที่ 1 คือ กรณีการกระทำความผิดทางอาญาอื่นที่เกิดขึ้นจากการอั้งยี่ รวมทั้งการกระทำความผิดที่เป็นการได้มาซึ่ง สว. ตามมาตรา 77 (1) ส่วนกรณีที่ 2 คือ ความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งอยู่ในอำนาจของ กคพ. นี่คือความเห็นของบอร์ดอนุฯ ที่มีหน้าที่กลั่นกรอง ส่วนบอร์ด กคพ.จะเห็นอย่างไรคือเรื่องของ กคพ. ส่วนรายชื่อ 1,200 ราย ที่ปรากฏว่าเป็นพยานของดีเอสไอในคดีฮั้ว สว. จะสอบหรือไม่เป็นเรื่องของอนาคต ขอให้รับเป็นคดีพิเศษก่อน รายชื่อดังกล่าวไม่ได้เป็นเอกสารที่หลุดออกมาจากดีเอสไอ แต่เท่าที่ดูเหมือนจะเป็นเอกสารที่หลุดออกมาจากวันที่มีการประกาศรายชื่อ 800 ราย ที่เข้ารอบสุดท้าย”
ศึก สว.กับดีเอสไอก็คงอีกยาวกว่าจะถึงบทสรุป แต่หลายคนคงอยากให้จบในช่วงรัฐบาลนี้แหละ เพราะถ้าสอบพบฮั้วจริง และบังเอิญ “มีพรรคการเมืองอยู่เบื้องหลัง” ก็เรื่องใหญ่กระเทือนถึงเลือกตั้ง.
ทีมข่าวการเมือง