จากกรณีตรวจพบการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อปลูกทุเรียนโดยกลุ่มทุนต่างชาติ พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าแควระบมและป่าสียัด หมู่ 20 บ้านห้วยนา และหมู่ 14 บ้านเขากล้วยไม้ ต.คลองตะเกรา อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยพบว่าบริษัทเอกชนของคนไทย ได้กว้านซื้อที่ดินชาวบ้าน ใน อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา จำนวน 1,500 ไร่ โดยที่ดินเหล่านั้นอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแควระบมและป่าสียัด ซึ่งบางส่วนอยู่ระหว่างการสำรวจรายชื่อราษฎร เพื่อให้เข้าทำกินอย่างถูกต้อง ภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) และบางส่วนได้จัดสรรที่ดินให้ราษฎรไปบ้างแล้ว และเมื่อรวบรวมที่ดินได้ตามเป้าประสงค์ บริษัทดังกล่าวจึงนำที่ดินนี้ไปขายให้กับกลุ่มนายทุนจากต่างชาติ เพื่อปลูกทุเรียน โดยทางเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.) ฉะเชิงเทรา ร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ได้เข้ายึดและจับกุม พบว่า ได้มีการปลูกทุเรียนไปแล้ว 450 ไร่ และมีการสร้างสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า ประปา รวมถึง อาคารสำนักงาน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปลูกทุเรียน ให้เต็มพื้นที่ทั้ง 1,500 ไร่นั้น
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 68 นายสุขจิตต์ กล้างาม อายุ 59 ปี อาศัยอยู่ในพื้นที่ บ้านตกพรม อ.ขลุง จ.จันทบุรี ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่ตนเองมีชื่อเป็นเจ้าของที่ดิน คทช. อยู่ที่ อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา ว่า ตนเองไม่รู้เรื่องด้วย แต่เพิ่งมาทราบจากข่าว ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน ครั้งนั้นเป็นช่วงที่โควิดระบาดหนักช่วงแรก ทางบริษัทแห่งหนึ่งได้นำเอกสารมาให้เซ็น ตนเองคิดว่าเป็นเอกสารที่จะใช้ในเรื่องของการสมัครงาน จึงได้เซ็นไป แต่ก็ไม่เคยมีใครติดต่อกลับมา จนกระทั่งเพิ่งมาทราบว่า ตนมีรายชื่อปรากฏเป็นเจ้าของที่ และตกเป็นเหยื่อ หลังจากนี้จะเดินทางไปแจ้งความเพื่อเป็นหลักฐานว่า ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องใดๆ ด้วย
ผู้สื่อข่าวได้สำรวจครอบครัวของคุณลุงสุขจิตต์ พบอาศัยอยู่บนบ้านไม้ลักษณะมีใต้ถุน มีสภาพเก่า อยู่กันแบบครอบครัว มีภรรยา ลูกชายลูกสะใภ้และหลานอีกสองคน มีอาชีพรับจ้างทั่วไป เช่น รับจ้างตัดหญ้า รับจ้างทำสวน ครอบครัวอยู่แบบพอเพียง
อย่างไรก็ตาม ที่มาที่ไปของกระบวนการนี้ ยังคงต้องถูกขุดค้นหาความจริง ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาจากอะไรกันแน่ มีการสมรู้ร่วมคิดในการขายต่อให้กับนายทุนจีนอีกทอดหรือไม่ โดยหลังจากนี้จะขึ้นอยู่กับกระบวนการของฝ่ายกฎหมายหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการนำสืบหาต้นตอที่แท้จริงต่อไป.