ความงดงามที่ยังต้องค้นหา เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน ธรรมชาติได้รังสรรค์ความงามให้กับ แม่น้ำซองกาเลีย อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ด้วย ดอกกล้วยไม้น้ำ ที่กำลังบานสะพรั่ง ทำให้บริเวณของริมฝั่งของลำธารนั้นมองไปเป็นทุ่งดอกไม้สีเหลืองอร่าม รังสรรค์ภาพอันน่าตื่นตาให้กับนักท่องเที่ยวที่ได้มีโอกาสมาสัมผัส


ดอกกล้วยไม้น้ำนั้นเป็นดอกไม้หายากที่เบ่งบานปีละครั้ง เพราะช่วงฤดูร้อนนั้นน้ำในลำธารแห่งนี้จะลดลง ทำให้ดอกกล้วยไม้น้ำ ได้ผลิบานพ้นน้ำและออกดอกอวดโฉม พบได้เพียงปีละครั้งในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน โดยในประเทศไทยสามารถพบได้เพียง 3 จังหวัด ได้แก่ น่าน ตาก และกาญจนบุรี ซึ่งทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งชมดอกกล้วยไม้น้ำที่ใหญ่และงดงามที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ
เส้นทางสู่สวรรค์แห่งธรรมชาติ จุดชมดอกกล้วยไม้น้ำในแม่น้ำซองกาเลียตั้งอยู่ระหว่าง น้ำตกตะเคียนทองและบ้านโจ่คี่ ซึ่งแม้ว่ายังไม่ถูกพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มและชาวบ้านที่รู้จักเส้นทางสามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ โดยการเดินทางจำเป็นต้องมีชาวบ้านในพื้นที่นำทาง


ในจุดนี้เราจะพบกับธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ท่ามกลางสายน้ำใสสะอาด นอกจากดอกกล้วยไม้น้ำที่บานสะพรั่งแล้ว บริเวณลำธารซองกาเลีย ยังเต็มไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ น้ำใสแจ๋ว มองเห็นปลาว่ายอยู่ใต้สายน้ำ รวมถึงบรรยากาศร่มรื่นของป่าดิบแล้งที่ช่วยให้การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติ


ในอนาคตอาจกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของสังขละบุรีก็เป็นได้ ถ้าได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เนื่องจากความงดงามและความสำคัญทางธรรมชาติของกล้วยไม้น้ำ จึงมีแนวคิดจากชุมชนและนักท่องเที่ยวบางส่วนในการผลักดันพื้นที่นี้ ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ หากได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่นี่อาจกลายเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของสังขละบุรี ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศ ใครที่อยากสัมผัสความมหัศจรรย์ของดอกกล้วยไม้น้ำ แนะนำให้รีบวางแผนมาเยือนในช่วง มีนาคม-เมษายน เพราะปีหนึ่งจะมีให้ชมเพียงครั้งเดียวเท่านั้น


นายวรวุฒิ วรคุตตตานนท์ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร หน่วยงานเกษตรที่สูง จังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยว่า กล้วยไม้มีเหง้า แตกกอหนาแน่น สูงได้ถึง 1 ม. มีขนสั้นนุ่มตามลำต้นช่วงบน ช่อดอก กลีบเลี้ยงด้านนอก รังไข่และก้านดอก ใบเรียงสลับ มี 4-9 ใบ ไร้ก้าน มีกาบที่โคน แผ่นใบรูปไข่ถึงรูปใบหอก ยาวได้ถึง 12 ซม. ช่อดอกแบบช่อกระจะ ออกที่ยอด ยาวได้ถึง 20 ซม. ส่วนมากมี 3-4 ดอก หรือถึง 14 ดอก ดอกสีเหลืออมเขียว ขอบกลีบสีน้ำตาลแดง ก้านดอกยาว ใบประดับคล้ายใบ รูปรีถึงรูปใบหอก ยาว 0.5-5 ซม. ใบประดับช่วงล่างยาวกว่าช่วงบน กลีบเลี้ยงรูปใบหอก ยาว 0.8-1.5 ซม. รูปคล้ายเรือ กลีบคู่ข้างกว้างกว่ากลีบหลังเล็กน้อย กลีบดอกโค้งเข้า รูปขอบขนานหรือรูปใบหอก ยาว 0.7-1.5 ซม. ปลายมน กลีบปากยาว 0.8-1 ซม. ส่วนโคน (hypochile) แผ่กว้าง แยก 2 พู รูปกลม ๆ เบี้ยว ยาว 3–4 ซม. ลายกลีบสีน้ำตาลแดง โคนมีสัน 2 สันติดกัน มีต่อมและรอยแคลลัสรูปขอบขนาน 2 รอย ช่วงปลายกลีบ (epichile) ยื่นยาวรูปขอบขนานหรือรูปใบหอกแกมรูปไข่กลับ ยาว 5-6.5 มม. มีสันตามขอบ เหนือโคนมีรอยแคลลัสรูปคล้ายหยดน้ำ 2 รอย เส้าเกสรพับงอกลับเล็กน้อย ยาว 5.5-6 มม. กลุ่มเรณูมี 2 กลุ่ม ยอดเกสรเพศเมียโคนเว้า มีจงอยเล็กที่สร้างเมือกเหนียว รังไข่และก้านดอกยาว 1-1.7 ซม. ผลแห้งแตก รูปกระสวย ยาวประมาณ 1.5 ซม. มี 6 สันตามยาว ก้านผลยาวประมาณ 1 ซม. พบที่เมียนมา ลาว และเวียดนามตอนบน

ในไทยพบทางภาคเหนือที่น่านและตาก และทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่กาญจนบุรี ขึ้นตามโขดหินริมลำธารหรือในลำธารที่น้ำท่วมถึงในป่าดิบแล้ง ความสูง 100–300 เมตร เป็นกล้วยไม้ที่ทนน้ำท่วม (reophyte) สกุล Epipactis Zinn อยู่ภายใต้วงศ์ย่อย Epidendroideae มีประมาณ 25 ชนิด พบทั้งในยุโรป แถบเมดิเตอร์เรเนียน เอเชีย และอเมริกาเหนือ ในไทยมีเพียงชนิดเดียว ชื่อสกุลมาจากชื่อกรีกโบราณ ซึ่ง Theophrastus นักธรรมชาติวิทยาชาวกรีก เป็นผู้ตั้งชื่อ Epipactis atromarginata Seidenf
กล้วยไม้น้ำ เป็นกล้วยไม้ที่ขึ้นบนก้อนหิน แตกกอหนาแน่นตามลำธาร ช่อดอกออกที่ปลายลำต้น แบบช่อกระจาย กลีบปากส่วนโคน (hypochile) แยกเป็นพูในแต่ละข้าง และส่วนปลายกลีบยื่นยาว.