เมื่อวันที่ 28 ก.พ. นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ถึงการดำเนินคดีเลือกกรณีฮั้ว เลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ว่า กกต. และสำนักงาน กกต. ได้ให้ความสำคัญโดยได้ดำเนินการพิจารณาคำร้องการเลือก สว. นับแต่มีการเลือก สว. โดยแยกเฉพาะเป็นกลุ่มซื้อเสียงและฮั้วการเลือก สว. คือ เสนอให้ ว่าจ้าง เรียกรับ ฮั้ว จัดตั้ง โพยเลขชุด บล็อกโหวต คะแนนสูงผิดปกติ คะแนน 0 เพราะเห็นว่า เป็นคำร้องที่มีลักษณะพิเศษ มีความซับซ้อน และมีการกระทำเป็นกระบวนการ โดยมีคำร้องที่อยู่ในกลุ่มนี้ 220 คำร้อง และรับเป็นสำนวนเพื่อสืบสวนและไต่สวน โดยได้มีการดำเนินการ คือ 1.แต่งตั้งคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาและประสานการปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสืบสวนและไต่สวนและการดำเนินคดีเกี่ยวกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 มีผู้แทนจาก 3 หน่วยงาน ซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูงร่วมเป็นคณะอนุกรรมการ คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
2.แต่งตั้งเจ้าพนักงานจากเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการสืบสวนไต่สวน จาก 3 หน่วยงาน จำนวน 10 คน จากข้าราชการระดับสูง คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ และ ปปง. 3.แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนและไต่สวนเพิ่มเติมขึ้นอีก 1 คณะ ซึ่งเป็นคณะพิเศษประกอบด้วยรองเลขาธิการ กกต. 4 คน และจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 3 นาย ให้มีหน้าที่และอำนาจสืบสวนและไต่สวนเรื่องคัดค้านการเลือก สว. ทุกพื้นที่ที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการสอบสวนและไต่สวนอยู่ระหว่างสอบสวนและไต่สวนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานตามระเบียบ กกต. ว่าด้วยการสอบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2567 และทุกสำนวนต้องเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในระเบียบดังกล่าว และ พ.ร.บ.กำหนดระยะเวลาการดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. 2565 โดยต้องให้ทุกฝ่ายได้มีโอกาสชี้แจงเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม
“ในการเลือก สว. พ.ศ. 2567 มีคำร้อง และที่รวมถึงรวมความปรากฏ ทั้งสิ้น 577 เรื่อง ซึ่ง กกต. พิจารณาแล้วเสร็จ 297 เรื่อง ซึ่งในส่วนของกลุ่มทุจริต เสนอให้ว่าจ้าง เรียกรับ ฮั้ว จัดตั้ง โพย เลขชุด บล็อกโหวต คะแนนสูงผิดปกติ คะแนน 0 กลุ่มนี้ที่มี 220 เรื่อง กกต. พิจารณาแล้วเสร็จ 109 เรื่อง และส่งศาลฎีกา 3 เรื่อง” นายแสวง กล่าว
นายแสวง กล่าวต่อว่า ส่วนการดำเนินการเมื่อมีความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมืองนั้น พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. 2560 ได้กำหนดให้ กกต. มีหน้าที่และอำนาจเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏต่อ กกต. ไม่ว่าโดยทางใด ไม่ว่าจะมีผู้แจ้งหรือผู้กล่าวหาหรือไม่ ถ้ามีหลักฐานพอสมควรหรือมีข้อมูลเพียงพอที่จะสืบสวนต่อไปว่ามีการกระทำใดอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง คือให้มีหน้าที่ต้องดำเนินการให้มีการสอบสวนหรือไต่สวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานตามมาตรา 41 ให้มีอำนาจสอบสวน ไต่สวนหรือดำเนินคดีตามมาตรา 41 และแต่งตั้งพนักงานของสำนักงาน กกต. เป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจในการสืบสวน สอบสวน ไต่สวน หรือดำเนินคดีตามระเบียบที่กำหนด และหากมีกรณีมีความจำเป็น กกต. จะแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานอื่นของรัฐให้เป็นเจ้าพนักงาน เพื่อปฏิบัติหน้าที่เฉพาะกาลหรือเฉพาะเรื่องตามที่ กกต. กำหนดก็ได้ ตามมาตรา 42 ให้มีอำนาจในการโอนเรื่องหรือส่งสำนวนโดยให้หน่วยงานของรัฐหรือพนักงานสอบสวน ที่รับเรื่องการกระทำความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมืองไว้พิจารณา เมื่อ กกต. เห็นว่าเป็นการสมควรที่ กกต. จะดำเนินการเองตามมาตรา 49
“ซึ่งเมื่อพิจารณาข้อกฎหมายแล้ว กกต. มีอำนาจในการแต่งตั้งเจ้าพนักงานจากเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานอื่นของรัฐ แต่กฎหมายไม่ได้กำหนดให้มอบหมายให้หน่วยงานอื่นของรัฐทำหน้าที่แทนไว้ กรณีที่เป็นการกระทำกรรมเดียว แต่ผิดหลายบท หน่วยงานอื่นของรัฐหรือพนักงานสอบสวนจะรับเรื่องไว้พิจารณา ก็ต้องพิจารณาว่ากฎหมายได้ให้อำนาจไว้หรือไม่ หากกฎหมายให้อำนาจไว้ ก็มีอำนาจในการรับเรื่องไว้ดำเนินการเองได้เลย” นายแสวง กล่าว
เลขาฯ กกต. กล่าวอีกว่า กรณีที่สำนักงาน กกต. มีหนังสือถึง กรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่าได้รับเรื่องการเลือก สว. ที่เป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม เป็นคดีพิเศษไว้ดำเนินการแล้วหรือไม่ คดีอะไร ก็เพื่อจะได้เสนอ กกต. พิจารณาตามมาตรา 49 ต่อไป.