ยังคงเป็นกระแสข่าวที่หลายคนให้ความสนใจต่อเนื่อง จากกรณีที่ทางการประเทศไทย ส่งตัวผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ ที่ถูกกักอยู่ในประเทศไทยกว่า 10 ปี โดยส่งคืนให้กับประเทศจีน ซึ่งประชาชนมองว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องระวังว่าอาจจะส่งผลกระทบกับประเทศไทยมากกว่าที่คิด

ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2568 “กัณวีร์ สืบแสง” สส.พรรคเป็นธรรม ได้ออกมาโพสต์รูปภาพจดหมาย 3 ฉบับ หลักฐานที่ชาวอุยกูร์ไม่สมัครใจกลับจีน โดยระบุว่า เปิดจดหมาย 3 ฉบับ จากเสียงผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่เคยถูกกัก และผู้ที่ถูกผลักดันกลับจีน มาดู (ฟัง) เสียงคนที่ไม่สามารถเปล่งเสียงออกจากห้องกักเป็นเวลาเกือบ 11 ปี สุดท้ายรัฐไทยเปล่งเสียงแทนว่าพวกเขาอยากกลับจีนมากเพื่อไปเจอครอบครัวเขา

จดหมายทั้งสามฉบับ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือขอวามช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่ถูกกักและคุมขังในไทยมานานเกือบ 11 ปี โดยชาวอุยกูร์ 48 คน ยืนยันไม่สมัครใจกลับจีน กลัวติดคุกและถูกฆ่าตาย และส่งถึงนายกรัฐมนตรีไทย ใช้หัวอกความเป็นแม่และผู้หญิงช่วยให้ชาวอุยกูร์ได้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่

จดหมายฉบับ 1 มาจากผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ถึง UNHCR เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2567 แต่จดหมายไปไม่ถึง UNHCR ทาง สตม. เก็บไว้และส่งคืนให้ผู้ต้องกักระหว่างอดอาหาร เมื่อเดือน ม.ค. 2568 ที่แจ้งชัดเจนว่า “อย่าส่งเขากลับจีน เพราะหากถูกส่งไปชีวิตเขาไม่ถูกขัง ก็ถูกทรมานและอาจตายได้” จดหมายฉบับนี้ถูกดองและส่งคืน

จดหมายฉบับที่ 2 นอกจากนี้ยังมีจดหมายจากญาติของผู้ต้องกักที่เป็นตัวแทนของ 43 อุยกูร์ ถึงนายกรัฐมนตรีของไทย ขอให้ส่งตัวชาวอุยกูร์ที่เป็นลูก ๆ และสามีพวกเขาไปประเทศอื่น จดหมายส่งไปเมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2567 ย้ำเรื่องการที่นายกฯ ก็เพิ่งได้รับคุณพ่อที่เพิ่งกลับมารวมครอบครัวได้ ซึ่งเป็นหัวอกของความเป็นสมาชิกในครอบครัวที่ถูกทำให้แยกจากกัน และต้องเข้าใจให้ตรงกันนะครับว่าครอบครัวของ 43 อุยกูร์นี้ ถูกส่งไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม (ตุรกี) เมื่อปี 2568 นะครับ ไม่ใช่อยู่ที่จีน

จดหมายฉบับที่ 3 เขียนโดยผู้ต้องกักอุยกูร์ในห้องกักที่สวนพลู ขอความช่วยเหลือ SOS เพื่อขอความช่วยเหลือจากประชาคมโลก ไม่ให้ถูกบังคับส่งกลับไปยังประเทศจีน เนื่องจากภัยอันตราย โดยพวกเขาประกาศอดอาหารเป็นเวลา 19 วัน ตั้งแต่วันที่ 10-28 ม.ค. 2568

นี่คือเสียงจากผู้ที่ไม่มีเสียง (Voices of the Voiceless) ผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์และครอบครัวที่ถูกทำให้แยกกันเป็นเวลามากกว่า 10 ปี จะเอายังไงรัฐบาลไทย จะนั่งโต๊ะแถลงแบบหลอกลวงคนทั้งโลกว่าเขาอยากกลับประเทศเองโดยสมัครใจอีกหรือไม่ เขาประท้วงโดยการอดอาหารตอนต้นปีนี้ เพราะกลัวว่าจะถูกผลักดันกลับจีน ญาติเขาที่อยู่ตุรกีขอให้ใช้หลักการรวมครอบครัวไปที่ตุรกี แล้วบอกนายกฯ เราขอให้เอาใจท่านมาใส่ใจเขาในฐานะลูกสาวที่พ่อเพิ่งกลับมารวมครอบครัวจากการลี้ภัยในต่างประเทศ เอ้าจะว่าไง

เลขาฯ สมช. บินไปจีนไปร่วมสร้างภาพกับการโกหกหลอกลวงจากนักการเมืองที่อ้างหลักสิทธิมนุษยชนผิด ๆ บิดเบี้ยวนี้ ท่านไปทำทำไม ผมเสียใจอย่างแท้จริงกับการจัดฉากหลอกลวงระดับโลกนี้ แถม ผบ.ตร. มาอ้างว่าเขาอยากกลับบ้านไปรวมครอบครัว มันคืออะไร ไอ้การที่ ผบ.ตร. ไม่รู้วิธีการแก้ไขแบบยั่งยืนด้านผู้ลี้ภัย ผมไม่ติดนะ เพราะคงไม่รู้จริง ๆ แต่อย่าเสนอสิ่งที่จะทำให้สังคมตระหนักรู้ที่ผิดเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน โดยบอกว่าเราเสียภาษีเลี้ยงดูเขามาอย่างยาวนาน ทำไมต้องดูแลและเขาอยากกลับบ้าน โถ่เพราะจริง ๆ มีมากกว่า 1 ประเทศอยากรับมาอย่างยาวนาน แต่รัฐไทยไม่ให้

หยุดบิดเบือนการกระทำผิด ทำงานลับ ๆ ล่อ ๆ ทำอย่างกับขบวนการนำพา (Human Smuggling) ทำเป็นไม่บอกไม่กล่าว ทำให้เสร็จก่อนแล้วให้จีนแถลงก่อน หากท่านโปร่งใสและกล้าหาญจริง และบอกว่าตัวเองทำชอบธรรมแล้ว ทำไมไม่ประกาศตั้งแต่แรกที่มีการตกลงกับสีจิ้นผิง แล้วแจ้งให้สาธารณะทราบ ที่สำคัญที่สุด ไม่แจ้งให้ผู้ลี้ภัยอุยกูร์ทราบว่ามีกระบวนการอะไร เขาเต็มใจหรือไม่ และให้เขาบอกเองว่าเขาอยากกลับไปจีนเอง หยุดการแก้ตัวที่บิดเบือนข้อเท็จจริงและเสนอเหตุผลยอดแย่ ต้องยอมรับความจริง…

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ : @กัณวีร์ สืบแสง Kannavee Suebsang