สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กล่าวว่า มาตรการขึ้นภาษีกับแคนาดาและเม็กซิโก ในอัตรา 25% “จะมีผลอย่างแน่นอน” ในวันที่ 4 มี.ค. ที่จะถึง หลังเลื่อนมานาน 30 วัน ส่วนจีนจะเผชิญกับอัตราภาษีเพิ่มอีก 10% หลังกำแพงภาษีเพิ่มอีก 10% สำหรับจีน มีผลเมื่อวันที่ 4 ก.พ. ที่ผ่านมา


ทั้งนี้ ผู้นำสหรัฐกล่าวว่า การเดินหน้ามาตรการ เป็นผลจากการลักลอบค้ายาเสพติดข้ามพรมแดน “ยังอยู่ในระดับที่ไม่อาจยอมรับได้”


ขณะที่นายหวัง เหวินเทา รมว.พาณิชย์จีน กล่าวว่า การใช้มาตรการกีดกันทางการค้า เป็นเรื่องที่รัฐบาลปักกิ่งคัดค้านอย่างถึงที่สุดมาตลอด และดำเนินการปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง โดยจีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าหลายอย่างของสหรัฐ ในอัตรา 10% และ 15% พร้อมทั้งสอบสวนบริษัทกูเกิล ฐานผูกขาดการตลาด ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. ที่ผ่านมา


นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์จีนเพิ่มความเข้มงวดในการส่งออกแร่ธาตุหายาก 25 ประเภท และการร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ว่าสหรัฐละเมิดกฎระเบียบของการค้าระหว่างประเทศ “อย่างร้ายแรง”


ด้านประธานาธิบดีคลอเดีย ไชน์บาว์ม ผู้นำเม็กซิโก ส่งคณะผู้แทนเจรจาเยือนกรุงวอชิงตันเป็นการด่วน เพื่อหารือกับผู้แทนของทรัมป์

ไชน์บาว์มยังคงหวังว่า จะสามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อระงับการขึ้นภาษีครั้งนี้ หลังก่อนหน้านั้น การที่เม็กซิโกให้คำมั่นส่งทหาร 10,000 นาย ลงพื้นที่ประจำการตามแนวพรมแดนทางเหนือของประเทศ ที่ติดกับสหรัฐ เพื่อสกัดกั้นผู้อพยพผิดกฎหมาย และความพยายามของแก๊งค้ายาเสพติด ในการลำเลียงเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐ ช่วยให้ทรัมป์ชะลอการขึ้นภาษี เมื่อเดือนที่แล้ว

ส่วนนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ผู้นำแคนาดา กล่าวว่า รัฐบาลออตตาวากำลังเร่งดำเนินการอย่างสุดความสามารถ เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการภาษี

อย่างไรก็ตาม แคนาดาพร้อมตอบโต้เช่นกัน หากกำแพงภาษีนั้นมีผลบังคับใช้จริง ในวันที่ 4 มี.ค. โดยแคนาดารอดจากกำหนดการขึ้นภาษีครั้งแรก หลังเพิ่มการจัดสรรงบประมาณ และแคนาดาจะจัดสรรงบประมาณความมั่นคงชายแดน เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ควบคุมพรมแดนจากปัจจุบัน 8,500 นาย เป็น 10,000 นาย.

เครดิตภาพ : AFP