เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ นายอัครวัฒน์ พงศ์ธนาชลิตกุล ตัวแทนกลุ่ม สว.สำรอง และอดีตผู้สมัคร สว.รวมกว่า 20 คน เดินทางมาเพื่อมอบดอกไม้ให้กำลังใจ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมทั้ง พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ คณะผู้บริหารกรมสอบสวนคดีพิเศษ

นายอัครวัฒน์ กล่าวว่า ตนในนามของสมาชิกวุฒิสภา (สำรอง) ตลอดจนผู้ที่เคยผ่านการสมัครสมาชิกวุฒิสภาด้วยกัน ได้เดินทางมาเพื่อมอบดอกไม้ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้บริหารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตลอดจนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในการดำเนินการต่อสู้กับอำนาจที่ทำลายระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จนทำให้บ้านเมืองเกิดความเสียหาย ส่งผลกระทบต่อประเทศในด้านต่างๆ อีกทั้งทำให้ความเชื่อมั่นของประเทศจากนานาชาติถูกลดทอนลง

อีกทั้งกระบวนการซึ่งการได้มาของสภานิติบัญญัติ มองว่า มีความไม่สุจริตโปร่งใส แต่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กลับเพิกเฉย ซึ่งตนมองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ได้รับความร่วมมือจากข้าราชการระดับสูง

ส่วนที่วานนี้ (25 ก.พ.) มีการเลื่อนการพิจารณารับคดีการฮั้ว สว.เป็นคดีพิเศษ มองว่าอาจจะมีเหตุผลในเรื่องข้อกฎหมาย เรื่องการมอบหน้าที่อำนาจว่าใครมีอำนาจในการตรวจสอบด้านใด ไม่ว่าจะเป็นทางอาญา หรือทางกฎหมายการเลือกตั้ง แต่ทั้งนี้ก็มีความคาดหวังว่าในวันที่ 6 มีนาคม ที่จะมีการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษอีกครั้ง ทางดีเอสไอจะรับคดีการฮั้ว สว.เป็นคดีพิเศษ

โดยเชื่อมั่นว่าดีเอสไอ จะรับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษอย่างแน่นอน เพราะมีประชาชนจำนวนมากที่อยากเห็นความยุติธรรม ตลอดจนพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นวันเลือกตั้ง หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ หรือพยานบุคคลที่เข้ามาเป็นพยานในคดีนี้มากมาย เชื่อว่าพยานหลักฐานมากพอที่จะทำให้ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ แต่หากไม่สามารถรับเป็นคดีพิเศษได้ทางเราก็มีแนวทางอยู่แล้ว

ขณะที่ตัวแทนประชาชนก็ได้มามอบดอกไม้ให้กำลังใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและผู้บริหารดีเอสไอด้วยเช่นกัน โดยบอกว่าจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้น เชื่อว่าผลสำรวจประชาชนกว่า 90% ก็เชื่อว่ามีการฮั้วเกิดขึ้น ตนที่เดินทางมาในนามประชาชนที่เฝ้าดูการทำงานของ กกต. วันนี้มาเพื่อขอให้ทางดีเอสไอช่วยทำความจริงให้ปรากฏ ซึ่งจะเป็นการพิสูจน์ว่า สว.ที่ผ่านการเลือกตั้ง มาด้วยความสุจริตบริสุทธิ์ใจจริงหรือไม่

ด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ขอบคุณทุกคนที่มาให้กำลังใจ ส่วนความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องนี้ อยู่ในขั้นตอนที่คณะกรรมการคดีพิเศษเลื่อนการประชุมไปอีกหนึ่งสัปดาห์เนื่องจากพบว่ายังมีข้อมูลที่มากมายจึงขอให้กรรมการคดีพิเศษที่ได้รับฟังข้อเท็จจริงเมื่อวานแล้วแต่ยังมีข้อสงสัยเรื่องข้อกฎหมายและจะได้กลับไปทบทวนเพื่อจะมาประชุมกันใหม่ในวันที่ 6 มีนาคมที่จะถึงนี้

ส่วนอำนาจที่ใช้เรียก กกต.มานั้น ใช้วิธีการประสานงาน เพราะในบางประเด็นอาจจะเป็นเอกสารมาก็ได้ ซึ่งก็มีการประสานงานกับคณะกรรมการการเลือกตั้งอยู่แล้วไม่ได้มีความขัดแย้ง โดยภายในวันที่ 6 มีนาคม หาก กกต. ไม่มา ดีเอสไอจะส่งเจ้าหน้าที่ไปทำการประสานงานก็ได้ ในประเด็นที่เป็นข้อสงสัย เป็นการตั้งคำถามจากการประชุมเมื่อวานนี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในด้านของข้อกฎหมาย

ส่วนเรื่องการเลือกตั้งเป็นเรื่องของ กกต. ส่วนที่เป็นคดีอาญาอื่น ถ้าคณะกรรมการคดีพิเศษรับให้เป็นคดีพิเศษ หากเป็นความผิดท้ายพระราชบัญญัติก็สามารถเป็นคดีพิเศษได้ เมื่อวานนี้ก็มีคำถามในข้อเท็จจริงบางอย่างและเนื่องจากประธานการที่ประชุมต้องรีบเดินทางไปขึ้นเครื่องบินก็เลยทำให้ยังไม่มีมติเมื่อวานนี้ ซึ่งถ้าในวันที่ 6 มีนาคม องค์ประชุมไม่ครบจะต้องเลื่อนการประชุมออกไปอีกหรือไม่ รมว.ทวีย้ำว่ามีการนัดหมายล่วงหน้ากันมาแล้วว่าจะต้องมา

ส่วนกรณีที่ สว. เตรียมจะอภิปรายทั่วไปต่อตนนั้น ตนก็พร้อมจะชี้แจงยืนยันว่าทำด้วยความยุติธรรมไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง หากตอนชี้แจงมีคำถามที่ตนจำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลที่เป็นความลับบางอย่าง หากทาง สว.รับได้เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากการสืบสวน ทุกอย่างจะเป็นไปตามข้อมูลหลักฐานเรื่องวิทยาศาสตร์เรื่องเทคโนโลยีเป็นเรื่องที่โกหกไม่ได้

ขณะที่ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า  กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายซึ่งจะต้องเข้าลักษณะที่เป็นคดีพิเศษเมื่อมีผู้มาร้องทุกข์กล่าวโทษ ดีเอสไอก็ต้องมีการสืบสวน ซึ่งคดีนั้นจะเข้าลักษณะเป็นคดีพิเศษหรือไม่ ตามหลักการกฎหมายถ้าเป็นความผิดตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติ กรมสอบสวนคดีพิเศษจะรับไว้ แต่ถ้าเข้าข้อกฎหมายอื่นที่ไม่ใช่ข้อกฎหมายท้ายพระราชบัญญัติอันนี้ต้องใช้มติ กคพ.ที่จะรับเป็นคดีพิเศษ เมื่อสืบสวนแล้วเห็นว่าเรื่องนี้ น่าจะเข้าเรื่องเป็นลักษณะคดีพิเศษก็จะต้องเสนอคณะกรรมการคดีพิเศษเพื่อให้มีมติ ซึ่งส่วนนี้เป็นกระบวนการปกติ ซึ่งอาจจะทำให้ประชาชนบางส่วนมองว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง แต่ตนมองว่าหากมีประชาชนมาร้องทุกข์กล่าวโทษ ดีเอสไอก็ต้องบังคับใช้กฎหมายทำตามหน้าที่ ซึ่งถ้าไม่ทำตามหน้าที่ทางดีเอสไอก็จะผิดเอง ยืนยันว่าไม่มีการแทรกแซงกดดันดำเนินการตามหน้าที่เท่านั้น