สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ว่า สตาร์เมอร์ แสดงความตั้งใจที่เพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศให้ถึง 3% ของจีดีพี ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.7% จากระดับการใช้จ่ายในปัจจุบัน และถือเป็นการเพิ่มงบประมาณกลาโหมครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่การสิ้นสุดของสงครามเย็น

“บทเรียนอันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของเราคือ ผู้นำเผด็จการอย่างประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ตอบสนองต่อความแข็งแกร่งเท่านั้น” สตาร์เมอร์ กล่าว

อนึ่ง สหราชอาณาจักรใช้จ่ายงบประมาณกลาโหม 2.3% ของจีดีพี ในปี 2566-2567 ซึ่งก่อนหน้านี้ รัฐบาลพรรคแรงงานของสตาร์เมอร์ ให้คำมั่นว่าจะเพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศเป็น 2.5% แต่ไม่ได้กำหนดกรอบเวลา

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์เรียกร้องให้ประเทศพันธมิตรในองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) เพิ่มเป้าหมายการใช้จ่ายด้านกลาโหมของพวกเขามากกว่าสองเท่า เป็น 5% ของจีดีพี แม้ในปัจจุบัน สหรัฐใช้จ่ายงบประมาณกลาโหมประมาณ 3.3% ของจีดีพีก็ตาม

สตาร์เมอร์ยอมรับว่า ความเคลื่อนไหวของทรัมป์ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเขา ในการกำหนดกรอบเวลาเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมของสหราชอาณาจักร เป็น 2.5% ของจีดีพี

นอกจากนี้ สตาร์เมอร์ยังหวังว่า การประกาศเพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศของสหราชอาณาจักร จะช่วยโน้มน้าวใจทรัมป์ ให้รับประกันความปลอดภัยแก่เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพของยุโรป ซึ่งถูกส่งไปประจำการในยูเครน เพื่อติดตามการหยุดยิงตามที่ตกลงกันไว้.

เครดิตภาพ : AFP