จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์ภาพของตัวปริศนา ที่มีสีน้ำตาลเหลืองๆ ผ่านกลุ่ม “นี่ตัวอะไร” พร้อมกับระบุข้อความว่า “เจอในถังขยะในห้องน้ำคุณแม่ครับ ตัวอะไรครับ” เมื่อภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ ต่างมีชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์แนะนำให้พาคุณแม่ไปหาหมอ ตามที่ข่าวเสนอไปก่อนหน้านี้

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 68 มีผู้ใช้เฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant หรือ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ได้โพสต์ข้อมูลชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าวว่า “ปกติเคสแบบนี้ มักเกิดกับคนที่ชอบกินเนื้อวัวเนื้อหมูดิบ หรือกึ่งดิบกึ่งสุก แล้วอาจจะกินถุงตัวอ่อนของพยาธิ ในรูปของ “เม็ดสาคู” ในเนื้อดิบ เข้าไปเติบโตในร่างกาย กลายเป็นตัวยาวเกาะอยู่ในลำไส้ แล้วบางครั้งก็สลัดปล้องสุก หลุดออกมาพร้อมกับการถ่ายอุจจาระ โดยลักษณะของปล้องสุกของพยาธิตัวตืดเช่นนี้”

อีกทั้ง สามารถเห็นได้ชัดเจนจากคลิปของเพจ ศูนย์วิจัยโรคปรสิต-parasitic disease research center ที่ให้คำอธิบายไว้ดังนี้
สำหรับ “ปล้องพยาธิตืดวัว” มีลักษณะเป็นปล้องนี้เรียกว่าปล้องสุก เป็นส่วนท้ายของพยาธิตืดวัว ที่ทั้งตัวมีความยาวหลายเมตร ประกอบด้วยส่วนหัว ส่วนคอ ปล้องอ่อน ปล้องแก่ และปล้องสุก โดยส่วนปล้องสุกนี้ มักจะหลุดออกมาทางก้น อาการเหมือนปวดเบ่งอุจจาระ จะมีอาการคันก้นบ้าง ภายในปล้องสุกเต็มไปด้วยไข่จำนวนมาก หากใครเห็นแบบนี้ออกมา และชอบกินเนื้อวัวดิบ แสดงว่าท่านมีพยาธิตืดวัว ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาต่อไป

อย่างไรก็ตาม “พยาธิตัวตืด” (Tapeworm) เป็นพยาธิที่พบได้ทั่วโลก ชนิดที่พบบ่อยได้แก่ พยาธิตัวตืดหมูและพยาธิตืดวัว พยาธิตืดวัวจะพบได้บ่อยกว่าพยาธิตืดหมู โดยเฉพาะในประเทศที่มีการเลี้ยงหมู วัว ควาย และนิยมรับประทานทั้งหมู เนื้อวัว และเนื้อควาย จะมีลักษณะกลมสีน้ำตาลเหลือง เมื่อหมูหรือวัวกินไข่ของพยาธิตัวตืดเข้าไป ไข่จะฟักเป็นพยาธิตัวอ่อนในลำไส้ แล้วไชเข้ากระแสเลือดไปอยู่ในกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย และอวัยวะอื่นๆ ของหมูหรือวัว ลักษณะเป็นถุงน้ำใสเล็กๆ ขาวๆ คล้ายเม็ดสาคู มีหัวของพยาธิอยู่ภายใน ซึ่งเป็นระยะติดต่อ

อีกทั้ง เมื่อคนกินหมูหรือวัวที่มีเม็ดสาคู โดยไม่ปรุงสุก หรือสุกๆ ดิบๆ พยาธิตัวอ่อนจะโผล่หัวออกมา และเจริญเติบโตเป็นพยาธิเต็มวัยเกาะติดอยู่กับผนังลำไส้เล็กโดยมีปล้องยาวออกไปเรื่อยๆ พยาธิตัวเต็มวัยทำให้เกิดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย เบื่ออาหาร รวมทั้งคลื่นไส้ อาเจียน และซีด จากภาวะโลหิตจาง

เมื่อพยาธิตัวเต็มวัย จะอาศัยอยู่ในลำไส้เล็กของคน จะใช้ส่วนหัวเกาะที่ผนังลำไส้ และปล่อยให้ลำตัวแขวน เคลื่อนไหวเป็นอิสระในลำไส้ พยาธิตัวตืดมีลักษณะตัวแบนๆ คล้ายเส้นบะหมี่ พยาธิตืดหมูมีขนาดเล็กและสั้นกว่าพยาธิตืดวัว โดยมีขนาดประมาณ 2-4 เมตร ส่วนพยาธิตืดวัวโดยปรกติจะมีขนาดยาว 5-10 เมตร

อีกทั้ง พยาธิจะสลัด “ปล้องสุก” จะมีลักษณะเป็นท่อนๆ ออกมา เป็นคราวปนออกมากับอุจจาระ สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า บางครั้งปล้องพยาธิอาจไชออกมาจากรูก้น ทำให้คนไข้รู้สึกคันก้น ภายในปล้องพยาธิเต็มไปด้วยไข่พยาธิ เมื่อปล้องพยาธิแตก ไข่จะออกมากับอุจจาระ และกระจายอยู่ตามพื้นดิน

นอกจากนี้ “การติดโรค” เมื่อคนกินไข่ของพยาธิตืดหมูที่ปนเปื้อนในอาหาร ผักสด ผลไม้ หรือน้ำเข้าไป หรือเกิดการขย้อน “ปล้องสุก” ของพยาธิตืดหมูที่อยู่ในลำไส้ กลับขึ้นไปในกระเพาะอาหาร จะทำให้พยาธิตัวอ่อนในไข่ฟักตัวออกมา แล้วไชเข้ากระแสเลือด ไปเติบโตเป็นถุงตัวตืด ลักษณะแบบเดียวกับเม็ดสาคูในเนื้อหมู สามารถพบตามกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย แม้แต่กล้ามเนื้อหัวใจ รวมถึงอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย เช่น สมอง หรือบางครั้งอาจคลำเป็นเม็ดๆ ใต้ผิวหนัง ส่วนพยาธิตืดวัว จะไม่ทำให้เกิดโรคถุงพยาธิตืดวัวในคน เนื่องจากพยาธิตัวอ่อนที่ฟักออกมาจากไข่พยาธิตืดวัว มักจะตายหากอยู่ในคน ทำให้ไม่เกิดอันตราย เหมือนกินไข่พยาธิตืดหมู

โดยอาการของโรคถุงพยาธิตืดหมูขึ้นสมองมีได้หลายอย่าง แล้วแต่ว่าถุงพยาธิไปอยู่บริเวณใดของสมอง และมีจำนวนมากน้อยเท่าใด ถ้ามีถุงพยาธิตืดจำนวนมาก ในสมอง อาจทำให้เสียชีวิตได้ จะมีอาการดังต่อไปนี้
1. อาการระยะแรกๆ มักจะไม่มีอาการ เมื่อมีพยาธิสะสมมากๆ เป็นเวลานาน จะทำให้เกิดอาการ เช่น ท้องอืด แน่นท้อง เจ็บบริเวณชายโครงขวา ออกร้อนบริเวณหน้าท้อง ถ้าปล่อยไว้นานๆ จะมีอาการอักเสบของท่อน้ำดี ตัวเหลือง ตาเหลือง ตับโต มีไข้ บางรายอาจกลายเป็นมะเร็งท่อน้ำดีในตับ และอาจถึงตายได้

นอกจากนี้ การรักษาพยาธิตัวตืด ต้องใช้ยาเฉพาะสำหรับพยาธิ ยาจะทำลายผิวนอกของพยาธิ และทำให้พยาธิเป็นอัมพาต
ปกติหมอจะให้ยาตามน้ำหนักตัวของคนไข้ และมักแนะนำให้คนไข้กินยาก่อนนอน เพื่อลดผลข้างเคียงของยาที่เกิดขึ้นในคนไข้ได้ เช่น วิงเวียน และคลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม คนที่เป็นโรคพยาธิตืดหมู ควรกินยาขณะท้องว่าง และกินยาระบายด้วย เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดการขย้อนปล้องสุกของพยาธิกลับเข้าไปในกระเพาะอาหาร ซึ่งจะทำให้เป็นโรคถุงพยาธิตืดได้ คนที่เป็นโรคถุงพยาธิตัวตืดในอวัยวะต่างๆ อาจไม่จำเป็นต้องรักษา ถ้าไม่มีอาการอะไร แต่ถ้าเป็นที่สมองและมีอาการ เช่น ชัก ปวดศีรษะมาก อาจต้องให้ยารักษาหรือผ่าตัดตามความเหมาะสม เป็นพยาธิอย่าซื้อยากินเอง ควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษาให้ถูกวิธีอีกด้วย

ขอบคุณข้อมูล : นี่ตัวอะไร เพจศูนย์วิจัยโรคปรสิต-parasitic disease research center โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน และ Jessada Denduangboripant