จากกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) นัดประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ครั้งที่ 2/2568 วันที่ 25 ก.พ. เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 10 กระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะกำกับหน่วยงานด้านความมั่นคง เป็นประธานกรรมการ ซึ่งการประชุมมีวาระสำคัญ คือ เรื่องสืบสวนที่ 151/2567 การร้องขอให้ตรวจสอบกระบวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภา 2567 เป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) หรือการเป็นคดีความผิดทางอาญาอื่น เหตุที่เสนอขอเป็นคดีพิเศษ เนื่องด้วยอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการคดีพิเศษ

พิจารณาแล้วเห็นว่า เรื่องนี้เป็นการกระทำความผิดต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร โดยเป็นการกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีการอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (3) มาตรา 209 ประกอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 107 พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 และความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ตามที่มีการรายงานข่าวไปอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 25 ก.พ. “ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์” ได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวระดับสูง ว่า สำหรับวาระสำคัญบรรจุนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) เพื่อรับเป็นคดีพิเศษในช่วงบ่ายวันนี้นั้น มี 2 วาระ คือ เรื่องสืบสวนที่ 151/2567 กรณี การคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภาที่มีกระบวนการหรือพฤติการณ์ที่มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ซึ่งมีพฤติการณ์อันอาจเป็นความผิดตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 และประมวลกฎหมายอาญา ส่วนอีกวาระ คือ เรื่องสืบสวนที่ 9/2568 กรณี การทุจริตสวมสิทธิยางพาราไทย กระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและความมั่นคงของเกษตรกรไทย เพื่อขอมติเห็นชอบจากที่ประชุมในการรับดำเนินการไว้เป็นคดีพิเศษ ส่วนวาระอื่น คือ การแจ้งความคืบหน้าในคดีสำคัญซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง อันประกอบด้วย คดีหมอบุญ คดีสตาร์ค และคดีดิไอคอน ภาค 2

แหล่งข่าวเผยต่อว่า สำหรับคดีฮั้ว สว. ทางคณะพนักงานสืบสวนเรื่องดังกล่าวจะมีการสรุปข้อเท็จจริงต่าง ๆ เสนอต่อคณะกรรมการคดีพิเศษ เพื่อแสดงข้อมูลข้อเท็จจริงให้กรรมการดูว่าเหตุใดจึงมีลักษณะที่จะรับเป็นคดีพิเศษ ส่วนประเด็นที่สมาชิก สว. ตั้งข้อสงสัยว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ ใช้อำนาจใดในการเข้าไปดำเนินการดังกล่าว ต้องอธิบายว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษได้เข้ามาดำเนินการในส่วนความผิดในอาญาอื่น ส่วนเรื่องอำนาจการยื่นการถอดถอน การเพิกถอน การร้องขอใด ๆ จึงจะเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต. อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่สังคมตั้งข้อสังเกตว่าในระหว่างที่ กกต. จะรับรองผลการเลือกสมาชิก สว. ในครั้งนั้น ได้มีขั้นตอนให้บุคคลได้เข้ายื่นร้องเรียนขอตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครสมาชิก สว. ด้วยประการเคลือบแคลงสงสัย แต่ท้ายสุด กกต. ได้มีการประกาศรับรองผลการเลือกสมาชิก สว.ไปแล้วนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อการที่บุคคลจะยื่นร้องการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. ในมาตรา 157 หรือไม่นั้น ตนให้ความเห็นว่าการรับรองดังกล่าวของ กกต. เป็นการรับรองตามกฎหมาย ซึ่งในตอนนั้น กกต. อาจยังไม่เจอเรื่องร้องเรียน

แหล่งข่าวเผยอีกว่า ส่วนที่มีกระแสข่าวว่ามีบุคคลพยายามโทรศัพท์ล็อบบี้กรรมการในคณะกรรมการคดีพิเศษนั้น ยอมรับว่าเกิดขึ้นจริงตามที่มีการรายงานข่าวของสื่อ แต่หลักการดำเนินการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ก็เป็นไปตามกฎหมายทุกประการ แม้จะพยายามล็อบบี้อย่างไร คณะกรรมการฯ ก็ต้องพินิจจากพยานหลักฐานที่พนักงานสืบสวนจะมีการนำเสนอต่อที่ประชุม ว่ามีรายละเอียดประกอบข้อเท็จจริงที่ตรงตามเงื่อนไขข้อกฎหมายอย่างไร ส่งผลกระทบเสียหายอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ ไม่อยากให้เป็นข้อวิตกมากนัก เพราะท้ายสุด กกต. สามารถเรียกเอาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งไปพิจารณาเองได้ตามกฎหมายของ กกต. ดังนั้น กกต. อาจจะรับไปในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ส่วนหากดีเอสไอเห็นประเด็นคำร้องที่ผู้เสียหายได้ร้องในคดีอาญา เห็นการกระทำผิดในคดีอาญา ก็เป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนที่จะตรวจสอบรายบุคคลที่กระทำผิด แค่ไม่ไปก้าวล่วงเรื่องของการเลือกตั้ง

แหล่งข่าวเผยด้วยว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงกระทบต่อประเทศชาติ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของกระบวนการนิติบัญญัติ และสถานการณ์ประชาชนจะขาดความน่าเชื่อถือเพราะถ้าต่อไปสามารถฮั้วได้หมดก็จะเกิดการฮั้ว นอกจากนี้ กรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าสมาชิก สว. จำนวน 138 รายที่ตรงกับโพยฮั้ว อยู่ในสังกัดค่ายสีน้ำเงินนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้นจริง และถ้าหากบอร์ด กคพ. รับคดีฮั้ว สว. เป็นคดีพิเศษแล้วนั้น คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่แต่งตั้งขึ้นก็จะมีอำนาจในการเรียกสอบสวนปากคำพยานบุคคลในคดีอาญาที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าบุคคลใดก็ตามที่เคยปรากฏในภาพถ่าย หรือข้องเกี่ยวในประเด็นใดที่มีบุคคลอื่นอ้างถึง ก็จะต้องมาให้ปากคำในฐานะพยานกับดีเอสไอ โดยจะเน้นการสอบสวนในคดีอาญาตามที่มีพยานหลักฐานชัดเจน ก่อนขยายผลต่อเนื่องไปจนกว่าจะเจอการกระทำความผิด ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ดีเอสไอมีหน้าที่ทำการสอบสวนอย่างตรงไปตรงมา เนื่องจากคณะพนักงานสืบสวนได้มีการสอบปากคำพยานบุคคลไว้ก่อนแล้ว มีเส้นทางพยานหลักฐานการเงิน มีพยานเรื่องโพย คลิปวิดีโอก็มีแล้ว เรียกได้ว่ามีข้อมูลพอสมควร จึงต้องตั้งเป้าที่คดีอาญาไม่ใช่คดีการเลือกตั้ง

“บางคนอาจมีรายชื่อปรากฏในโพย แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องในขั้นตอนอื่น หรือแม้เป็นผู้ที่เลือกตามโพย แต่ท้ายสุดมารู้ตัวว่าแบบนั้นเป็นการบล็อกโหวตตัวเอง ทั้งที่ควรจะได้รับเลือกโหวตแต่กลับกลายเป็นสถานะโหวตเตอร์อย่างเดียว เพราะมารู้ตัวทีหลัง แบบนี้ก็ถือว่ามิได้มีการสมคบตั้งแต่ต้น เพราะเห็นความไม่ถูกต้องความไม่ชอบมาพากล ก็จะถูกกันเป็นพยาน หรือแม้มีการรับเงินไปแล้ว โหวตตามโพยไปแล้ว แต่ได้เก็บพยานหลักฐานไว้เพื่อแจ้งการกระทำในลักษณะดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่ ก็จะเป็นการให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้ไปขยายผลในเรื่องของเส้นทางการเงินว่าเชื่อมโยงไปถึงบุคคลใดบ้าง ซึ่งการสืบเสาะเส้นเงินจะทำให้เจ้าหน้าที่เห็นร่องรอยหลักฐานการเงินว่ามาจากกลุ่มคนกลุ่มใด และใครคือเจ้าของเงินตัวจริง” แหล่งข่าวอธิบาย

แหล่งข่าวเผยอีกว่า สำหรับคดีสวมสิทธิยางพาราไทย คณะพนักงานสืบสวน กองกิจการอำนวยความยุติธรรม ได้แสวงหาพยานหลักฐานและรวบรวมข้อเท็จจริงจนพบแผนประทุษกรรมชัดเจน โดยเฉพาะพฤติการณ์ของผู้ร่วมขบวนการมีลักษณะเป็นกองทัพมด มีการนำเอายางพาราของประเทศเมียนมา ซึ่งมีราคาถูกมาใช้สวมสิทธิแทนยางพาราไทย และขายในราคาบาทไทย ในพื้นที่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี แต่ตามกฎหมายแล้ว ยางพาราถือเป็นสินค้าห้ามนำเข้า เพราะต้องใช้ยางพาราไทย ซึ่งการสวมสิทธิดังกล่าว ส่งผลทำให้ประเทศไทยและเกษตรกรพี่น้องสวนยางพาราได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะราคาตลาดยางพาราไทย ขายกิโลกรัมละ 50-60 บาท แต่ยางสวมสิทธิ์กลับขายในราคากิโลกรัมละ 20 บาท จึงต้องเสนอเป็นคดีพิเศษเพื่อรับไปดำเนินการสอบสวนหาผู้ร่วมขบวนการ และพิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป