เมื่อวันที่ 23 ก.พ. ที่ร้าน Wind&Wild ถนนเทพรักษ์ เขตสายไหม นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ร่วมบรรยายในหัวข้อ “การเมืองไทย ในทรรศนะ เท้ง-ณัฐพงษ์” กับหนุ่มเมืองจันท์ โดยนายณัฐพงษ์ กล่าวตอนหนึ่งถึงกระบวนการคัดเลือก สว.ที่เป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ ว่า ตนเชื่อว่าเป็นไปตามหลักฐานที่ปรากฏว่ากระบวนการเลือก สว. ครั้งนี้ไม่โปร่งใส ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะถึง พรรคประชาชนได้รับข้อมูลจากคนในพรรคร่วมรัฐบาล แต่ขอไม่เปิดเผยชื่อหรือรายละเอียด เนื่องจากเป็นการคุ้มครองบุคคลที่ออกมาให้ข้อมูลด้วย ซึ่งการอภิปรายในครั้งนี้ จะเน้นไปที่ความไม่โปร่งใสในการบริหารราชการแผ่นดิน และรอยร้าวของคนในพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่สามารถผลักดันนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาได้
ส่วนกรณี 44 สส. ถูกยื่นตรวจสอบจริยธรรม นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า “ยักไหล่” แล้วเดินหน้าทำงานฝ่ายนิติบัญญัติต่อไป เชื่อว่าทุกคนไม่มีข้อกังวลใจว่าจะหลุดจากตำแหน่งหรือไม่ เพราะหากมีความกังวล การเดินหน้างานในสภาผู้แทนราษฎรจะหยุดชะงักลง ตนย้ำทุกการกระทำและการแสดงออกสะท้อนให้เห็นว่าไม่ได้กังวลใจในส่วนนี้ และไม่อยากให้มองว่าเป็นเรื่องปกติที่ใครจะต้องโดน
นายณัฐพงษ์ ยังชี้แจงกรณีที่คนคิดว่าพรรคมีนโยบายที่เปลี่ยนไป ว่า เป็นการปรับวิธีการสื่อสารเกี่ยวกับนโยบายของพรรค ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะสูญเสียหลักการ หรือทำให้หลักการน้อยลง แต่ยอมรับว่าที่ผ่านมาต้องทำการบ้านหนักเรื่องการสื่อสารกับฝ่ายเห็นต่าง
นายณัฐพงษ์ ยังได้ตอบคำถามเรื่องการเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ว่า ในวันอังคารที่ 25 ก.พ.นี้ พรรคประชาชนจะเปิดแคมเปญรับสมัคร สก. เปิดสนามเลือกตั้ง กทม. ส่วนบุคคลที่จะส่งชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. อยู่ระหว่างการเจรจาพูดคุย โดยเชื่อว่าจุดแข็งของพรรคประชาชนมี สส.ในสภา ทำให้ผลักดันวาระต่างๆ ได้
หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า ถ้าพรรคประชาชนยังตั้งใจทำงาน ในการเลือกตั้งปี 2570 เชื่อว่าชนะการเลือกตั้งได้ ถ้าชนะเลือกตั้งมาแล้ว ส่วนกลุ่มชนชั้นนำจะยอมให้เป็นรัฐบาลหรือไม่ ตนไม่สามารถตอบได้ แต่หน้าที่ขณะนี้คือเดินหน้าต่ออย่างเต็มที่ จะต้องชนะการเลือกตั้ง เพื่อนำใบอนุญาตใบที่ 1 ในการเป็นรัฐบาลให้ได้ก่อน ซึ่งในสมัยนี้ตนยืนยันว่าจะไม่เข้าร่วมรัฐบาลอย่างแน่นอน หากสมการการเมืองเปลี่ยน
“สิ่งที่เกิดขึ้นในการจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศเสียเวลาไปเยอะ โดยเฉพาะการสลับขั้วการเมืองไปมา แต่สิ่งที่จะทำให้ผลักดันนโยบายเชิงโครงสร้างอย่างแรก หนีไม่พ้นการได้เสียงจากประชาชน เพื่อทำให้มีพลังมากพอที่จะผลักดันวาระต่างๆ ได้ ดังนั้นในสภาสมัยนี้ไม่มีวันไปร่วมรัฐบาลแน่นอน และมั่นใจว่าเพื่อนที่ร่วมเดินทางมาไม่มีใครย้ายค่าย ตอนที่ยุบพรรคอนาคตใหม่มาก้าวไกล ทุกคนมาด้วยกัน” นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวถึงการจับขั้วทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้าว่าอยู่ที่พรรคภูมิใจไทยออกมาประกาศจุดยืนตัวเองอย่างไร รวมถึงจุดยืนแต่ละพรรคการเมือง พร้อมยกตัวอย่างว่าหากจำเป็นต้องจับมือกับพรรคร่วม ต้องลงนาม MOU การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องอยู่ในวาระที่ตกลงร่วมกัน