การเผยโฉมรถเก๋งไฟฟ้าเวอร์ชั่นสปอร์ต จากค่ายบีเอ็มดับเบิ้ลยู (BMW) ในชื่อของ วิชั่น ไดรฟ์วิ่ง เอ็กซ์พีเรียนซ์ (Vision Driving eXperience) หรือ VDX รถไฟฟ้าตัวแรงที่พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของรถยนต์ซีดานไฟฟ้าต้นแบบ “นอย คลาซเซ” (Neue Klasse) ที่พวกเขาได้นำเสนอมาได้พักใหญ่ แต่ก็ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเสียที

การมาถึงของ VDX หรือที่คาดการณ์ว่า รถจริงจะได้รับชื่อว่า BMW iM3 ที่แม้จะพรางตาด้วยลายที่ยุ่งเหยิง แต่ก็สามารถยืนยันให้คนที่ติดตามเรื่องราวความก้าวหน้าของค่าย BMW สามารถมั่นใจว่า รถต้นแบบ “นอย คลาซเซ” ใกล้จะเปิดตัวแล้ว โดยรูปพรรณสันฐานนั้นจะใกล้เคียงกับรถที่เคยเปิดตัวไปก่อนนี้มากพอสมควร นั่นก็คือ เป็นรถที่มีเส้นสายที่เรียบตึง กระชับ ห้องโดยสารโปร่งตาด้วยกระจกบานใหญ่ แต่จุดที่แตกต่างเห็นจะเป็น กระจังหน้านั้นก็เป็นการปรับสัดส่วนของรูปไตคู่ (Kidney Grille) เอกลักษณ์ของแบรนด์ให้ยืดยาวออกด้านข้างจนเต็มความกว้างของตัวรถ และทำออกมาเรียวบางกว่าของรถต้นแบบ “นอย คลาซเซ” อย่างชัดเจน ทำให้ดูแล้วสวยขึ้นมาก ส่วนไฟหน้านั้นก็มีความชัดเจนมาขึ้นว่าจะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม จากแต่เดิมที่ในเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้เป็นเพียงเส้นบางๆ เรียกได้ว่าด้านหน้าตอนนี้หล่อเหลา เฉียบคม อาจจะไม่ถูกใจสายอนุรักษ์นิยม แต่ก็สามารถเรียกว่าสวยได้อย่างไม่เคอะเขิน

ด้านท้ายนั้นในรถแนวคิด VDX จะเห็นได้ชัดว่า ไฟท้ายนั้นอยู่บนขอบด้านบนของฝากระโปรงหลังเหมือนกับที่เห็นไปแล้วในรถต้นแบบ “นอย คลาซเซ” แต่จากการที่เป็นรุ่นสมรรถนะสูง ด้านตัวถังรถจึงได้มีการเพิ่มขนาดซุ้มล้อให้รับกับยางและล้อขนาดใหญ่ และนอกจากนั้นยังมาพร้อมกับชุดกันชนหน้าและท้าย รวมถึงสเกิร์ตข้างที่ดุดันมากขึ้น

อีกหนึ่งงานออกแบบที่ยากจะได้เห็นจริงในรถรุ่นโปรดักชั่น ก็คือล้อแม็กที่มาพร้อมระบบไฟแอลอีดี ที่สามารถเปลี่ยนสีได้ตามสถานะการทำงาน อาทิ เปลี่ยนเป็นสีเขียวขณะเร่ง และจะเปลี่ยนเป็นสีฟ้า หากยกคันเร่งและดึงพลังงานกลับ และจะกลายเป็นสีส้ม หากทำการเบรคด้วยแป้นเบรค ซึ่งว่ากันตามตรงก็เท่ดีเหมือนกัน

สำหรับภายในห้องโดยสารนั้นก็ตรงกับที่พวกเขาเคยเผยมาก่อนหน้านี้ก็คือ มันมาพร้อมกับระบบปฎิบัติการใหม่ นั่นก็คือระบบปฎิบัติการ ซิสเต็ม เอ็กซ์ (System X) ที่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง 4 ระบบร่วมกัน นั่นก็คือ 1. คอนโซลกลางที่เป็นหน้าจอแบบสัมผัส (Central Display) ที่ออกแบบให้อยู่ใกล้มือที่สุด 2. การแสดงผล การขับขี่ ทำผ่านทางหน้าจอ บีเอ็มดับเบิ้ลยู พาโนรามิก วิชั่น (BMW Panoramic Vision) ที่อยู่บริเวณฐานของกระจกบังลมหน้าจากซ้ายไปจรดขวา 3. หน้าจอแบบ เฮดอัพ ดิสเพลย์ 3 มิติ (3D Head Up Display) ที่จะฉายภาพซ้อนทับไปกับถนนด้านหน้า ติดตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของคนขับ และสุดท้าย 4. พวงมาลัยแบบมัลติฟังค์ชั่น รุ่นใหม่ที่มีรูปทรงแปลกตา

ด้านขุมกำลังและระบบขับเคลื่อนนั้น เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังอยู่ในช่วง 1 เมกกะวัตต์ หรือ 1,341 แรงม้า จากมอเตอร์อย่างน้อย 2 ตัว (อาจจะมีมากถึง 4 ตัว) โดยหัวของการควบคุมพลังงานนั้นก็คือ ระบบปฏิบัติการ ที่มีชื่อเล่นว่า หัวใจแห่งความสุข หรือ Heart of Joy ที่ทางบีเอ็มดับเบิ้ลยูกล่าวว่าจะถูกใช้ในรถไฟฟ้าของพวกเขาทุกรุ่นในอนาคต โดยจะโฟกัสไปที่การจัดการพลังงาน การชลอความเร็ว และการดึงพลังงานกลับมาใช้ใหม่ ที่รวดเร็วมากกว่าเดิมถึง 10 เท่า เพื่อการขับแบบเท้าเดียว (One Pedal Operation) ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งผู้เขียนพบว่า การขับแบบควบคุมคันเร่งอย่างเดียว ไม่ต้องแตะเบรค คือแตะเท่าที่จำเป็น มันสะดวกสบายมากจริงๆ การชลอเพื่อเข้าโค้งด้วยการยกเท้าเบาๆเป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์ โดยระบบใหม่นี้สามารถสร้างแรงหน่วงได้มากกว่ารถไฟฟ้าทั่วไปได้ถึง 25% ดังนั้นเบรคจะสงวนไว้สำหรับกรณีฉุกเฉินจริงๆเท่านั้น

ส่วนใครที่ทนอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อยากจะบอก “ไม่ชอบรถไฟฟ้าเลย” บีเอ็มดับเบิ้ลยู ก็ฝากบอกมาว่า ไม่ต้องกลับ เพราะพวกเขายังมีรุ่น ซีรี่ส์ 3 ที่รูปลักษณ์ก็จะต่างจากรถคันนี้ และยังใช้เครื่องยนต์สันดาปเหมือนเดิมให้คุณเลือกใช้ น่าจะทำให้เหล่าสายอนุรักษ์โล่งอกได้บ้าง.
โดย : ภัทรกิติ์ โกมลกิติ