แต่ยังจำได้ไหมว่าเมื่อต้นศตวรรษที่ผ่านมา หรือราวปี 2001 ที่ทางค่าย บีเอ็มดับเบิ้ลยู (BMW) ได้เปิดตัวนวัตกรรมทางการออกแบบที่มีชื่อว่า ไอไดรฟ์ (iDrive) ออกมา ไล่เลี่ยกับ อุปกรณ์ไฮเทคต่างๆร่วมสมัยจากค่ายแอปเปิ้ลที่ล้วนแล้วแต่ใช้คำว่า “ไอ” หรือย่อมาจาก อินเทลลิเจนท์ (Intelligent) หรือ “ฉลาด” มาเป็นประกอบเป็นชื่อ อาทิ ไอพอด (iPod) เครื่องเล่นเพลงแบบพกพา หรือ ไอแม็ค (iMac) ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์สำหรับใช้งานในบ้าน โดย ไอไดรฟ์ นั้นเป็นชื่อที่ทาง BMW ใช้ในการเรียกขานลูกบิดอัจฉริยะ ที่ใช้สั่งงานระบบต่างๆที่แสดงผลผ่านหน้าจอนั่นเอง โดยติดตั้งใช้งานเป็นครั้งแรกในรถ BMW ซีรี่ส์ 7 รหัส e65 และ e66 และได้ถูกนำมาใช้งานในรถรุ่นต่อๆไป รวมถึงรถในตระกูล “มินิ” และ “โรลส์-รอยซ์” ในเวลาต่อมาอีกด้วย

แนวคิดหลักของการใช้งานก็คือ พวกเขาเชื่อว่า การลดจำนวนปุ่มต่างๆในรถให้น้อยลงนั้น จะทำให้ลดความสับสน รวมถึงลดต้นทุนในการออกแบบลงได้ โดยจะเปลี่ยนปุ่มจำนวนมากมายในเวลานั้นให้กลายมาเป็นการสั่งงานผ่านหน้าจอแสดงผล แต่วิศวกรของ BMW เชื่อว่า เพื่อให้ใช้งานได้ง่ายหน้าจอควรจะอยู่ไกลออกไป เพื่อให้ไม่ต้องละสายตาจากถนน ดังนั้นแทนที่ผู้ใช้จะสัมผัสกับหน้าจอโดยตรงในระบบทัชสกรีน เราต้องสั่งงานผ่านระบบอินเตอร์เฟส (Interface) ที่เรียกว่า “ไอไดรฟ์ ” ที่ตั้งอยู่บริเวณที่เรามาวางพักมือบนคอนโซลเกียร์อย่างพอดิบพอดีนั่นเอง

รูปลักษณ์ของ ไอไดรฟ์ นั้นเป็นเหมือนลูกบิด ที่สามารถบิดซ้าย บิดขวา และกดเพื่อเลือก หรืออาจจะเรียกว่า “กดคลิ๊ก” ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับการกดคลิ๊ก “เมาส์” (mouse) ของคอมพิวเตอร์ในบ้าน แต่จะแตกต่างตรงที่แทนที่จะให้เคอร์เซอร์ (Cursor) เคลื่อนที่ได้อย่างอิสระเหมือนเมาส์ แต่ ไอไดรฟ์ จะต้องทำงานผ่านขั้นตอนที่มีระเบียบชัดเจนเป็นขั้นตอน เป็นชั้นลงไป ด้วยการหมุนผ่านคำสั่งต่างๆไปเรื่อยๆ คล้ายคลึงกับการสั่งงานโทรศัพท์มือถือยุคก่อนสมาร์ทโฟน ที่ต้องเปิดเมนู แล้วกดเลื่อนไปเรื่อยๆจนเจอคำสั่งที่ต้องการ โดยในยุคแรกเริ่มสุดนั้นลูกบิดไอไดรฟ์ จะดูเหมือนงานประติมากรรมที่ทำจากอลูมิเนียม เรียบง่ายสะอาดตา เป็นนวัตกรรมที่ค่าย จนกลายมาเป็นแบบรุ่นหลังๆที่มี “ปุ่มลัด” (Shortcut) เพื่อความรวดเร็วในการสั่งงาน และจากลูกบิดอลูมิเนียม ก็พัฒนามาเป็นลูกบิดที่สามารถใช้นิ้วของเราเขียนตัวหนังสือได้ (สำหรับบ้านเราต้องเขียนด้วยมือซ้าย ยากไม่ใช่เล่น) และสุดท้ายก็คือ มันมาในรูปแบบลูกบิดแก้วเจียรนัยทรงคุณค่า เรียกได้ว่า ไอไดรฟ์ เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ BMW ภาคภูมิใจเพราะเป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรมที่ค่ายรถยนต์อื่นต้องเดินตาม

แถมต่อมาในภายหลังพวกเขาได้นำเสนออีกหนึ่งนวัตกรรมใหม่เมื่อราว 10 ปีก่อน นั่นคือการใช้เซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนที่ของมือแบบไร้สัมผัส ที่ใช้การโบกมือ หรือทำท่าทางต่างๆกลางอากาศเพื่อสั่งงาน แทนการใช้ลูกบิดไอไดรฟ์ หรือเรียกว่า เจสเจอร์ คอนโทรล (Gesture Control) ซึ่งสร้างเสียงฮือฮาให้กับเพื่อนฝูงที่ขึ้นมาบนรถเสมอ เพราะดูราวกับเราเป็นพ่อมดก็ไม่ปาน แต่บอกตรงๆว่า มันใช้งานยาก และใช้งานได้ตามต้องการได้เพียง 60% เท่านั้น

แม้ว่านวัตกรรม ไอไดรฟ์ จะอยู่คู่กับ BMW มากว่า 2 ทศวรรษ แต่ในที่สุดพวกเขาก็ต้องยอมรับว่าแนวคิดที่เป็นระเบียบ และชาญฉลาดนี้ ต้องหลีกทางให้ การใช้งานระบบ “จอสัมผัส” ที่พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงแต่สุดท้ายก็เลี่ยงไม่พ้น เพราะฟังค์ชั่นต่างๆของหน้าจอในปัจจุบันมันเพิ่มมากขึ้นจนเกินความสามารถของลูกบิดไอไดรฟ์ จะรองรับไหว และต้องยอมรับว่าคนใช้รถยุคใหม่นี้ยอมรับได้กับความซับซ้อนบนหน้าจอ ที่ไม่ได้ต่างอะไรกับการมีปุ่มกดมากมายเหมือนในอดีต

ส่วนระบบสั่งงานด้วยท่าทางนั้นไม่ต้องพูดถึง พวกนักพัฒนาต่างยอมแพ้ พร้อมกับยอมรับว่ามันไม่เหมาะเอาเสียเลย เพราะการใช้งานขณะที่รถเคลื่อนที่นั้นมือไม้ของเรามันจะโยกไปด้วย แถมนอกจากจะเมื่อยแล้ว ในประเทศที่ขับรถพวงมาลัยขวาเราจะต้องสั่งงานด้วยมือซ้ายข้างที่ไม่ถนัดเสียด้วย มันช่างยากขึ้นเป็นทวีคูณ ดังนั้นทั้งระบบไอไดรฟ์ และระบบสั่งงานด้วยท่าทาง จึงต้องปิดฉากลง และจะไม่ได้เห็นมันอีกแล้วใน BMW ในเจนเนอเรชั่นต่อไป โดยระบบสั่งงานใน BMW ยุคต่อไปจะยืนพื้นอยู่ที่ระบบจอสัมผัส และการสั่งงานด้วยเสียงที่มีผู้ช่วยเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่ฉลาดขึ้นทุกวันนั่นเอง…เรียกได้ว่า อะไรๆในโลกนี้ มันก็อยู่ภายใต้กฏ “ธรรมชาติคัดสรรค์” ของ ชาร์ล ดาร์วิน เหมือนกันทั้งนั้นขอรับ!.