“กาแฟ” เครื่องดื่มยอดนิยมของผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศ ตามสถิติในไต้หวัน ประชากรกว่า 40% ดื่มกาแฟมากกว่า 1 แก้วต่อวัน และบริโภคกาแฟมากกว่า 2.85 พันล้านแก้วต่อปี แต่นักพันธุศาสตร์ ดร.เจื่องเกียมินห์ ได้ออกมาเตือนว่าการดื่มกาแฟหนึ่งถ้วยทุกวัน อาจทำให้เรากลืนอนุภาคพลาสติกที่มองไม่เห็นบนแก้วกระดาษเข้าไปด้วย เช่นเดียวกับการดื่มนมร้อน โกโก้ ชาร้อน ฯลฯ จากแก้วกระดาษ อนุภาคเหล่านี้จะเข้าสู่ร่างกายมนุษย์อย่างเงียบๆ และในที่สุดก็จะเข้าไปอยู่ในเซลล์
ดร.เจื่องเกียมินห์ เตือนว่า “แก้วกาแฟกระดาษเป็นกับดักที่ผู้คนอาจไม่สังเกตเห็น ชั้นในของถ้วยกระดาษเคลือบด้วยโพลีเอทิลีน (PE) เดิมทีฟิล์มพลาสติกนี้ใช้สำหรับป้องกันการรั่วไหลของของเหลว แต่เมื่อสัมผัสกับอุณหภูมิสูง จากเครื่องดื่มที่มีกรด หรือแอลกอฮอล์ มันจะเร่งการปล่อยอนุภาคพลาสติกขนาดเล็กเข้าสู่กระแสเลือด และอวัยวะของมนุษย์อย่างเงียบๆ ในที่สุดก็จะติดอยู่ในเซลล์ และส่งผลต่อการทำงานของเซลล์”
จากการศึกษาวิจัยในปี 2022 ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Hazardous Materials พบว่าความเข้มข้นของไมโครพลาสติกในน้ำเพิ่มขึ้นถึง 723–1,489 อนุภาค หลังจากสัมผัสกับถ้วยเป็นเวลา 5 นาที และเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อระยะเวลาในการจัดเก็บเพิ่มขึ้น ขนาดของไมโครพลาสติกที่ถูกปล่อยออกมา ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงต่ำกว่า 50 ไมโครเมตร การเขย่าถ้วยในระหว่างการขนส่งหรือขณะดื่ม เป็นสาเหตุของการปล่อยสารนี้ นอกจากนี้ ผลการศึกษายังแสดงให้เห็นว่า แก้วปล่อยไมโครพลาสติกมากขึ้น เมื่อบรรจุเครื่องดื่มร้อนมากกว่าเครื่องดื่มเย็น จากผลการสำรวจพบว่า ผู้คนอาจกินไมโครพลาสติกโดยไม่ตั้งใจประมาณ 37,613–89,294 อนุภาคต่อปี จากการใช้แก้วแบบใช้แล้วทิ้งทุกๆ 4–5 วัน
ดร.เจื่องเกียมินห์ กล่าวว่า เราสามารถจินตนาการถึงเซลล์ของมนุษย์ เป็นโรงงานที่มีประสิทธิภาพในการประมวลผลการแปลงพลังงาน เผาผลาญของเสีย และผลิตโปรตีนชนิดต่างๆ มากมายในแต่ละวัน อย่างไรก็ตาม เมื่อไมโครพลาสติกเข้าสู่เซลล์ มันก็เหมือนกับหลุมฝังกลบที่เต็มไปด้วยถุงพลาสติก เซลล์จะเริ่มติดขัด กิจกรรมต่างๆ จะช้าลง เกิดการอักเสบ และกิจกรรมทางพันธุกรรมจะถูกรบกวน ทำให้เซลล์ไม่แข็งแรงอีกต่อไป ในระยะยาวอาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะอักเสบเรื้อรัง ส่งผลให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเพิ่มมากขึ้น
อนุภาคพลาสติกไม่เพียงแต่ติดอยู่ในเซลล์เท่านั้น แต่บางส่วนยังปล่อยสารเคมีที่ไปรบกวนระบบต่อมไร้ท่อ ทำให้เซลล์ได้รับคำสั่งที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจนำไปสู่ผลที่ตามมาดังต่อไปนี้
- ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ทำให้เกิดความไม่สมดุลในการควบคุมพลังงานในเซลล์ และทำให้การเผาผลาญช้าลง ส่งผลให้มีแนวโน้มจะเหนื่อยล้า และน้ำหนักตัวมากขึ้น
- ความผิดปกติของฮอร์โมนเพศ ส่งผลต่อเซลล์สืบพันธุ์ และส่งผลต่อการเจริญพันธุ์ได้
- การตอบสนองของอินซูลินที่ไม่ดี ทำให้เซลล์ไม่สามารถประมวลผลน้ำตาลในเลือดได้อย่างเหมาะสม เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานได้
- เซลล์ลำไส้ที่ดูดซับสารอาหารและขับของเสียออกไป แต่เมื่ออนุภาคพลาสติกสะสมอยู่ในเซลล์ลำไส้ ท่อส่งสารอาหารที่เคยเรียบก็จะเริ่มอุดตัน
- จุลินทรีย์ในลำไส้ไม่สมดุล แบคทีเรียที่เป็นอันตรายเพิ่มขึ้น และแบคทีเรียที่มีประโยชน์ลดลง ทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย
- การอักเสบของลำไส้ ซึ่งนำไปสู่โรคลำไส้รั่ว อาจทำให้เศษอาหารและสารพิษที่ไม่ย่อยเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรง
- ประสิทธิภาพการย่อยและดูดซึมลดลง ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะทุพโภชนาการ หรือเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ในระยะยาวได้
ดร.เจื่องเกียมินห์ กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า อนุภาคเหล่านี้เปรียบเสมือน “ฟิล์มพลาสติกที่มองไม่เห็น” ที่สะสมอยู่ในลำไส้ ทำให้ลำไส้อุดตันและไม่แข็งแรง ทำให้ระบบย่อยอาหารไม่ดี และอาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันได้ด้วย
ตับและไตมีหน้าที่กรองของเสียออกจากร่างกาย แต่เมื่อไมโครพลาสติกเข้าสู่เลือด อวัยวะที่ทำหน้าที่กำจัดสารพิษเหล่านี้ จะเหมือนกับการรับขยะที่ไม่สามารถประมวลผลได้ อนุภาคพลาสติกจะไม่สลายตัว และอาจส่งผลต่อการทำงานของระบบเผาผลาญของเซลล์
- การอักเสบของเซลล์ตับส่งผลต่อความสามารถในการกำจัดสารพิษ
- การทำงานของไตลดลง และการสะสมในระยะยาวอาจส่งผลต่อการขับยูเรีย
- ความเครียดออกซิเดชันที่เพิ่มขึ้น ทำให้เซลล์แก่ก่อนวัย ส่งผลต่อการทำงานโดยรวมของร่างกาย
ดร.เจื่องเกียมินห์ ยกตัวอย่างว่า ก็เหมือนถังขยะที่เต็มไปด้วยถุงพลาสติกที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ จำนวนถุงที่เพิ่มมากขึ้น แต่ไม่สามารถนำออกได้ ทำให้ประสิทธิภาพของระบบสุขาภิบาลลดลงเรื่อยๆ แม้การดื่มกาแฟจากแก้วกระดาษจะไม่ทำให้คุณป่วยทันที แต่หากทำเช่นนี้ทุกวัน อนุภาคพลาสติกเหล่านี้จะค่อยๆ เติมเต็มเซลล์ของมนุษย์ และส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ เช่นเดียวกับขยะที่สะสมตามกาลเวลา มันไม่เพียงแต่ทำให้การทำงานของเซลล์ลดลง แต่ยังส่งผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ ระบบย่อยอาหาร และแม้แต่ความสามารถในการกำจัดสารพิษของตับอีกด้วย
แม้ว่าพลาสติกจะมีอยู่ทุกที่ แต่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้คนสามารถหลีกเลี่ยงการใช้แก้วกระดาษแบบใช้แล้วทิ้ง และเลือกใช้ “แก้วเครื่องดื่ม” ที่เป็นมิตรต่อร่างกายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบของไมโครพลาสติก และช่วยให้เซลล์ทำงานได้ง่ายขึ้นโดยไม่มีพลาสติกเกาะติดอยู่.
ที่มาและภาพ: Research Gate, ETToday, Soha