เมื่อวันที่ 13 ก.พ. นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ให้ความรู้ด้านสุขภาพผ่านเฟซบุ๊ก หมอเจด ได้โพสต์ข้อความระบุว่า
ช่วงนี้กระแสมาแรงนะครับ กับเรื่องของ anti aging หรือการชะลอวัย ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่ทำให้ดูเด็ก แต่คือการดูแลสุขภาพจากภายใน ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง และช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดีขึ้นในระยะยาว วันนี้เราจะมาแนะนำ 5 วิตามินที่หมอมักแนะนำให้เสริม เพื่อช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ มีอะไรบ้างมาดูกันครับ
1. วิตามินดี (Vitamin D)
วิตามินดีเป็นสารอาหารสำคัญที่ทำงานคล้ายฮอร์โมน มีบทบาทช่วยควบคุมการทำงานของภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ เสริมความแข็งแรงของกระดูก และช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง ซึ่งตัวนี้คนไทยก็ขาดเยอะนะครับ ทัังๆ ที่บ้านเราเป็นเมืองร้อน
ควรกินเท่าไหร่?
•คนทั่วไปควรได้รับ 600–2000 IU ต่อวัน
•ถ้าตรวจพบว่ามีระดับวิตามินดีต่ำ อาจต้องเสริมมากกว่านี้ภายใต้การดูแลของหมอ
แหล่งอาหารที่ให้วิตามินดี
•แสงแดด เป็นแหล่งที่ดีที่สุด แต่บางคนอาจได้รับไม่เพียงพอ
•ปลาที่มีไขมันสูง เช่น แซลมอน ซาร์ดีน
•ไข่แดง ตับ
2. แอสตาแซนธิน (Astaxanthin): สารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังที่สุด
แอสตาแซนธินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่มีสีแดง และได้ฉายาว่า ราชาแห่งสารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในสาหร่ายสีแดงและสัตว์ทะเล เช่น กุ้งและปลาแซลมอน มีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซีและโคเอนไซม์คิวเท็นหลายเท่า
ทำไมต้องเสริมแอสตาแซนธิน?
•ป้องกันความเสื่อมของเซลล์ มีงานวิจัยพบว่าแอสตาแซนธินช่วยลดความเสียหายของเซลล์จากออกซิเดชัน
•ช่วยบำรุงผิวพรรณ ช่วยลดริ้วรอย ป้องกันผิวจากรังสี UV และช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์
•บำรุงสายตาและสมอง: ช่วยป้องกันจอประสาทตาเสื่อมและบำรุงระบบประสาท
•เสริมสมรรถนะร่างกาย มีงานวิจัยระบุว่าช่วยเพิ่มความทนทานในการออกกำลังกาย
ควรกินเท่าไหร่?
•ปริมาณที่แนะนำ 4–12 mg ต่อวัน
แหล่งอาหารที่ให้ Astaxanthin
•ปลาแซลมอน ไข่ปลา กุ้ง ปู
•สาหร่ายสีแดง
3. โคเอนไซม์คิวเท็น (CoQ10)
โคเอนไซม์คิวเท็นเป็นสารที่ช่วยให้ไมโทคอนเดรีย ที่เป็นเหมือนโรงงานผลิตพลังงานของเซลล์ ทำงานได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในเซลล์หัวใจและสมอง เมื่ออายุมากขึ้นระดับ CoQ10 ในร่างกายจะลดลง ทำให้เซลล์ขาดพลังงาน ส่งผลต่อความเหนื่อยล้าและความเสื่อมของอวัยวะ
ทำไมต้องเสริม CoQ10?
•ช่วยให้หัวใจแข็งแรง มีงานวิจัยระบุว่า CoQ10 ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและช่วยลดความดันโลหิต
•ลดความเหนื่อยล้าเรื้อรัง เหมาะกับคนที่รู้สึกอ่อนเพลียง่าย
•ป้องกันริ้วรอยระดับเซลล์ CoQ10 เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสื่อม
ควรกินเท่าไหร่?
•แนะนำ 100–200 mg ต่อวัน
แหล่งอาหารที่ให้ CoQ10
•ปลา ไข่แดง เนื้อสัตว์
•ถั่ว ธัญพืชเต็มเมล็ด
4. วิตามินซี (Vitamin C)
อันนี้หลายคนน่าจะเดาได้ไม่ยาก วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และเสริมภูมิคุ้มกัน มีงานวิจัยสนับสนุนว่าวิตามินซีช่วยลดริ้วรอย ทำให้ผิวดูสดใสขึ้น และช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากออกซิเดชัน
ควรกินเท่าไหร่?
•คนทั่วไปต้องการ 500–1000 mg ต่อวัน
•ไม่ควรเกิน 2000 mg ต่อวัน เพราะอาจทำให้ท้องเสียหรือเกิดนิ่วในไต
แหล่งอาหารที่ให้วิตามินซี
•ผลไม้ตระกูลส้ม ฝรั่ง กีวี สตรอเบอรี
•พริกหยวก บรอกโคลี ผักใบเขียว
5. น้ำมันปลา (Fish Oil)น้ำมันปลามีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายเราอย่างโอเมก้า-3 ได้แก่ EPA (Eicosapentaenoic Acid) และ DHA (Docosahexaenoic Acid) ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพสมอง หัวใจ และระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบเรื้อรังซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคเรื้อรังหลายชนิดประโยชน์ของน้ำมันปลา•ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ลดระดับไตรกลีเซอไรด์และช่วยควบคุมความดันโลหิต•บำรุงสมองและความจำ: DHA เป็นองค์ประกอบหลักของเซลล์สมอง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์•ลดอาการปวดข้อและอักเสบ: มีงานวิจัยว่าช่วยลดอาการข้อเสื่อมและโรครูมาตอยด์ควรกินเท่าไหร่?•แนะนำ 1000–2000 mg ต่อวัน (รวมปริมาณ EPA + DHA)แหล่งอาหารที่ให้โอเมก้า-3•ปลาที่มีไขมันสูง เช่น แซลมอน ทูน่า •เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเชีย น้ำมันคาโนลา
ขอบคุณเพจ หมอเจด