เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทีมนักวิจัยซึ่งเผยแพร่ผลการศึกษาวิจัยในวารสาร Scientific Reports จากการตรวจสอบกระดูกของมนุษย์ในกลุ่มวัฒนธรรมแมกดาลีเนีย ซึ่งอยู่ในระยะสุดท้ายของยุคหินเก่าในยุโรป เมื่อ 11,000-17,000 ปีก่อน เป็นจำนวนอย่างน้อย 10 คน โดยใช้เทคนิคการสร้างภาพแบบต่าง ๆ
ทีมนักวิจัยซึ่งมาจากสถาบันต่างๆ ในฝรั่งเศส สเปน และโปแลนด์ ได้ระบุประเภทของรอยและบาดแผลที่ “เกี่ยวข้องกับการควักไขกระดูกในกระดูกชนิดยาวและสมองในกะโหลกศีรษะ”
ก่อนหน้านี้ การศึกษาวิจัยอื่นๆ หลายฉบับ แสดงให้เห็นว่า การกินเนื้อคนเป็นเรื่องปกติในหมู่ชาวแมกดาลีเนีย ทั้งที่เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมงานศพ และเป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้ความรุนแรง

แต่ ฟรานเซสค์ มาร์จิเนดาส หนึ่งในผู้ร่วมเขียนงานวิจัยครั้งนี้ระบุว่า เฉพาะกรณีที่พวกเขาศึกษานี้ เป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับ “สงคราม” เพราะไม่มีร่องรอยการปฏิบัติเป็นพิเศษใดๆ ในแหล่งที่ค้นพบกระดูก เมื่อเทียบกับแหล่งโบราณคดีที่เกี่ยวข้องกับชาวแมกดาลีเนียอื่นๆ อีกทั้งยังไม่มี “ถ้วยกะโหลกศีรษะ” (Skull cup) ซึ่งแสดงถึงความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมเกี่ยวกับศพ
มาร์จิเนดาส เป็นนักโบราณคดีจากสถาบันโบราณคดีมนุษย์และวิวัฒนาการทางสังคมแห่งคาตาลันในสเปน และเป็นหนึ่งในทีมที่ศึกษาเกี่ยวกับกระดูกที่ฝังอยู่ในถ้ำมาซิสกา ใกล้กับเมืองคราคูฟ ประเทศโปแลนด์ ซึ่งเป็นแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวางมานานหลายทศวรรษ

ในช่วงเวลาดังกล่าว มีการตั้งทฤษฎีต่างๆ ขึ้นมาหลายทฤษฎี เพื่ออธิบายว่าเหตุใดชาวมแมกดาลีเนียจึงผ่ากะโหลกศีรษะของศพ
ระหว่างการศึกษาวิจัยในช่วงทศวรรษ 1990 มีการสรุปว่า มนุษย์โบราณเหล่านี้ กินสมองของศัตรู แต่ในเวลาต่อมา กลับมีการศึกษาวิจัยที่ชี้ว่า ไม่มีรอยฟันมนุษย์บนกะโหลกศีรษะเหล่านั้น ซึ่งขัดแย้งกับสมมุติฐานเรื่องการกินเนื้อคน
อย่างไรก็ตาม สำหรับมาร์จิเนดาสนั้น หลักฐานที่มีอยู่ทั้งหมด “ทำให้เราคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงและความขัดแย้งมากกว่าพิธีศพ” เขากล่าวกับผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็น เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
มาร์จิเนดาสและทีมงาน ใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ศึกษากระดูกจนระบุรอยและรอยตัดบนกระดูก 68% ว่าเป็นร่องรอยที่เกิดขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ ไม่ใช่โดยกระบวนการทางธรรมชาติ

เขาชี้ว่า โครงกระดูกของคน 10 คน แบ่งเป็นผู้ใหญ่ 6 คน และวัยรุ่นอีก 4 คนนั้น คาดว่าเป็นญาติกัน แต่ยังรอหลักฐานยืนยันเพิ่มเติมจากการวิเคราะห์ดีเอ็นเอ
เนื่องจากคนกลุ่มนี้เสียชีวิตไปนานแล้ว “จึงยากมากที่จะพูดได้แบบ 100% ว่าเป็นกรณีการกินเนื้อกันเองระหว่างสงคราม” มาร์จิเนดาส กล่าว “ระหว่างกระบวนการวิเคราะห์ซากดึกดำบรรพ์ (การศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและกระบวนการที่เกิดขึ้นกับสารอินทรีย์หลังความตาย) ของพื้นผิวของกระดูกทั้งหมด เพื่อค้นหาร่องรอยใดๆ ที่สามารถบอกบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นแก่เราได้ เราพบว่า… กระดูกจากแขนและขาถูกชำแหละและหัก… เพื่อนำไขกระดูกออกมาบริโภค”
บิล ชัตต์ นักสัตววิทยาและผู้เขียนหนังสือ “Cannibalism: A Perfectly Natural History” ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการศึกษานี้ กล่าวว่า “นี่เป็นบทความที่เขียนได้ดีมาก” อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าไม่ควรสรุปอย่างชัดเจนว่านี่คือตัวอย่างของค่านิยมการกินเนื้อคน
“ยังมีคำตอบอื่นๆ สำหรับคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นในสมัยนั้น” เขากล่าว โดยอธิบายว่า เรายังไม่มีความรู้มากเพียงพอเกี่ยวกับวัฒนธรรมแมกดาลีเนีย ที่จะระบุลงไปว่า พวกเขาเป็นคนกินเนื้อคน
“ใครจะรู้ว่าคนเหล่านี้ทำอะไรอยู่ในตอนนั้น พวกเขาเชื่อว่าการทุบกะโหลกหรือควักเนื้อคนตายออกมา ถือเป็นการแสดงความเคารพหรือไม่” ชัตต์กล่าว “มีวัฒนธรรมบางวัฒนธรรม ที่ถือว่าการควักเนื้อและอวัยวะออกจากร่างกาย คือส่วนหนึ่งของพิธีศพ”
ที่มา : edition.cnn.com
เครดิตภาพ : Antonio Rodríguez-Hidalgo/IAM/Francesc Marginedas/IPHES-CERCA