เมื่อวันที่ 13 ก.พ.  ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศบริเวณหน้ารัฐสภาเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา กลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ และภาคีเครือข่าย นำโดยกลุ่มโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) จัดกิจกรรม “อยากเลือกตั้ง ส.ส.ร. ชวน สว.ทำเรื่อง กล้วยๆ” เพื่อติดตามการประชุมร่วมกับรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ และยื่นหนังสือข้อเรียกร้องของกลุ่ม โดยทางกลุ่มได้เดินเท้าจากสถานีรถไฟฟ้า MRT เตาปูน มาที่อาคารรัฐสภาฝั่งทางเข้า สว.ตั้งแต่ช่วงเช้า โดยมีการนำเต็นท์ และเครื่องขายเสียงมาติดตั้งประกอบการทำกิจกรรมทางการเมือง

ทั้งนี้ภายหลังจากการประชุมร่วมรัฐสภาล่ม เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ กลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งไม่พอใจได้มีการขว้างกล้วยจำนวนมากพร้อมสาดสีฟ้าที่หน้าทางเข้าอาคาร โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาได้ควบคุมดูแลสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ต่อมาพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย และ กลุ่ม สว.พันธุ์ใหม่ ได้เดินทางมารับหนังสือจากทางผู้ชุมนุม โดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านสภาผู้แทนราษฎร รับหนังสือพร้อมกล่าวว่า ตนยืนยันว่าพรรคประชาชนจะร่วมกันผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับอย่างแน่นอน

หลังจากนั้นกลุ่ม สว.พันธุ์ใหม่ นำโดย น.ส.นันทนา นันทวโรภาส รับหนังสือ โดยกล่าวว่า ขอโทษประชาชนที่ทำไม่สำเร็จ ไม่สามารถที่จะผลักดันให้เกิดการโหวตลงมติอภิปรายในวาระที่ 1 ให้สำเร็จ นี่คือการหักเหลี่ยมทางการเมือง ไม่ได้มีเจตจำนงที่แท้จริง ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการยืดเยื้อรัฐธรรมนูญออกไป ซึ่งยืดกฎหมายประชามติก็มีการยืดด้วยวิธีแบบนี้ คือการแก้รัฐธรรมนูญก็ใช้วิธีเดียวกันคือส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

“แม้ปี 64 ก็ส่งไปแล้ว จะส่งปี 67 จะส่งอีก ตะบี้ตะบันส่งไปถึงไหน ส่งแล้วจะให้เปลี่ยนผลยังไงในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญบอกแล้วว่าไม่รับวินิจฉัย ไหนถ้อยคำแถลงศาลรัฐธรรมนูญมีเพียงทำประชามติก่อนและหลัง นี่คือการยืดเยื้อเพื่อไม่ให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลุ่มสว.พันธุ์ใหม่ยินดีสนับสนุน แม้ในรัฐธรรมนูญ ต้องการเสียง สว. 67 เสียง เรามีไม่ถึงแต่พยายามเป็นเสียงที่ส่งถึงประชาชน ว่าพวกเราสว.พันธุ์ใหม่ยินดีสู้ร่วมกับประชาชน” น.ส.นันทนา กล่าว

ด้านน.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เป็นตัวแทนจากพรรคเพื่อไทยในการรับหนังสือโดยกล่าวว่า จุดยืนของพรรคเพื่อไทยเรายังคงยืนยัน เดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในสมัยประชุมที่แล้วเราก็ได้เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากความกังวลของพรรค และสว.บางส่วนในเรื่องของการให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอำนาจประธานสภา และความไม่แน่ชัดของการทำประชามติ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญยังไม่มีคำวินิจฉัยในเรื่องนี้ การเสนอญัตติด่วนของ สว. ในวันนี้ ก็เป็นมติที่พรรคเพื่อไทยได้เห็นว่า จะเป็นการชะลอและหาทางออกร่วมกันเพื่อให้มีความชัดเจน พรรคเพื่อไทยจึงเห็นด้วยกับการนำญัตติของ สว.ไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อผลออกมาว่ามติไม่ผ่านเราก็ต้องเดินหน้าโดยพิจารณาอย่างรอบคอบเพราะเราประเมินว่าจะมีเสียง สว.ไม่ถึง 67 เสียงในการผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ หากฝืนเดินหน้าต่อจะเป็นปัจจัยที่เราจะต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่ สำหรับการประชุมร่วมรัฐสภาในวันพรุ่งนี้ เราจะยังมาสภาเพราะเป็นหนึ่งในเรื่องที่เราหาเสียงไว้

ด้านนายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) กล่าวว่า ชัดเจนว่ามีคนไม่ต้องการให้อภิปราย และไม่ต้องการให้มีการลงมติ หลายท่านคงรู้ว่าประชาชนต้องการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และคงไปดีลอะไรมาจึงโหวตให้ไม่ได้ หากโหวตไม่รับก็กลัวประชาชนจะไม่สนับสนุนต่อ เลยต้องทำอะไรก็ได้เพื่อให้ตัวเองไม่ลงมติ ขอเชิญให้ สส. ทั้งนี้เหลือเวลาพรุ่งนี้อีก 1 วัน ก็ขอให้สส.และสว. เข้าประชุมให้ครบองค์ อภิปรายว่าคิดเห็นอย่างไร นำเหตุผลมาพูดคุยกัน หากยังไม่มาหรือหาเหตุผลมาเลื่อนอีก เราก็ต้องกลับมาเป็นแบบเดิมอีก ขอย้ำกับประชาชนว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอะไร ก็ไม่เข้าใจว่ามีความกังวลอะไร เราจะปักหลักยืนยันข้อเรียกร้องจากประชาชนในเรื่องของการทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับโดยจากการเลือกตั้งทั้งหมด หากพรุ่งนี้มีการประชุมร่วมรัฐสภา เราก็จะมาทำกิจกรรมที่นี่อีก แต่ถ้าไม่มีการประชุมเราก็จะหาพื้นที่อื่นในการทำกิจกรรม

“วันนี้ผมเจ็บกับภูมิใจไทย เพราะพรรคภูมิใจไทยบอกว่าต้องการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดย ส.ส.ร. แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม คือไม่เข้าร่วมประชุมและโยนภาระไปให้พรรคเพื่อไทย ถ้าพรรคเพื่อไทยกล้าหาญก็คงเดินหน้าต่อ แต่ก็ได้ข่าวว่าวันนี้ สส.ของพรรคก็เข้าร่วมประชุมไม่เยอะมาก เข้าใจว่านายกรัฐมนตรียังไม่ได้พูดอะไร การประชุมวันนี้เป็นการประชุมและรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลชุดนี้ที่แถลงนโยบายไว้ต่อรัฐสภา เราอยากเห็นสัญญาณที่จริงใจและจริงจังจากนายกรัฐมนตรี ถ้าท่านต้องการเดินหน้านโยบายนี้ก็ออกมาพูดอะไรหน่อย และบอกให้ สส.ทุกคนเข้าร่วมประชุมในวันพรุ่งนี้และเดินหน้าต่อไปให้ได้”.