เมื่อวันที่ 12 ก.พ. ที่ สน.บางโพงพาง พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผบก.น.5 พ.ต.อ.อนันต์ชัย กมลรัตน์ ผกก.สน.บางโพงพาง ร่วมกันเผยผลการจับกุมตัว นายอรรคกร (สงวนามสกุล) หรือ เพลิน อายุ 46 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 175/2568 ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 ในข้อหา วางเพลิงเผาทรัพย์ และ พยายามฆ่า โดยจับกุมได้ที่ ต.คำอาฮวน อ.เมือง จ.มุกดาหาร เมื่อวันที่ 11ก.พ. หลังก่อเหตุจุดไฟเผา นายราเชน เทพมณี อายุ 52 ปี พ่อค้าขายแตงโม จนบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิต ที่ รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ ในเวลาต่อมา โดยเหตุเกิดที่ลาดจอดรถภายในวัดดอกไม้ ซอยสาธุประดิษฐ์ 58 แยก 8 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กทม. ช่วงค่ำของวันที่ 8 ก.พ. ที่ผ่านมา

โดย พล.ต.ต.นพศิลป์ เผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นช่วงค่ำของวันที่ 8 ก.พ. ที่ผ่านมา ผู้ต้องหาก่อเหตุราดน้ำมันจุดไฟเผาเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต ต่อมาฝ่ายสืบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานและออกหมายจับ ผู้ต้องหาคือ นายอรรคกร ในวันที่ 9 ก.พ. ขณะที่ชุดสืบสวนทราบว่า ผู้ต้องหาหลบหนีโดยการจ้างรถไปส่งที่ จ.มุกดาหาร จากนั้นก็ไปหลบซ่อนตัวอยู่ในป่า ช่วงวันที่ 10 ก.พ. ต่อเนื่องวันที่ 11 ก.พ. ก่อนจะถูกจับกุมตัวไว้ได้ในที่สุด

เบื้องต้น นายเพลิน ให้การรับสารภาพว่าก่อเหตุจริง เนื่องจากความแค้นปมชู้สาว อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบประวัติ พบว่าผู้ต้องหาเคยต้องโทษ “ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ปล้นทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธปืน โดยใช้ยานพาหนะ เมื่อปี 2556 ซึ่งชนวนเหตุเกิดจากเรื่องชู้สาวเช่นกัน โดยผู้ต้องหาจำคุกอยู่ 9 ปี และพ้นโทษออกมาเมื่อปี 2564 กระทั่งมาคบหากับแฟนคนปัจจุบัน ซึ่งมักจะนำผลไม้ลงมาขายที่วัดดอกไม้ จึงได้รู้จักกับ นายราเชน ผู้เสียชีวิต ทั้งหมดคบหาเป็นเพื่อนสนิทในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ภายหลัง นายเพลิน เริ่มระแคะระคายว่าแฟนสาวกำลังนอกใจไปหานายราเชน เมื่อสอบถามฝ่ายหญิงให้การปฏิเสธ หลังจากนั้นก็มีปากเสียงระหองระแหงเรื่อยมา ก่อนที่ฝ่ายหญิงจะเริ่มตัดการติดต่อห่างกันไป

ทั้งนี้ ตัวผู้ต้องหาและแฟนสาวได้ร่วมกันนำรถกระบะไปจำนำ ได้เงินมาประมาณ 5 หมื่นบาท ซึ่งรถยังนำมาใช้ร่วมกันอยู่ ต่อมาในเดือนธันวาคม ฝ่ายหญิงนำรถไปใช้ก่อนจะหายไปเลย เมื่อผู้ต้องหาสอบถามฝ่ายหญิงก็อ้างว่าขายไปแล้ว ต่อมาช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. 2568 ผู้ต้องหารู้ชัดเจนแล้วว่าแฟนสาวไปคบหาอยู่กินกันกับนายราเชน จึงเกิดความแค้นสะสมอยู่ในใจ

กระทั่ง วันที่ 8 ก.พ. ผู้ต้องหาเดินทางจากพุทธมณฑล สาย 4 ซึ่งเป็นบ้านเช่า ไปรับจ้างตัดต้นไม้อยู่ที่ย่านสาธุประดิษฐ์ กับเพื่อนอีกคน ชื่อ “นายติ๊ก” ต่อมาเมื่อขับรถผ่าน ผู้ต้องหาเห็นว่า รถที่แฟนสาวอ้างว่านำไปขายนั้น เป็นรถคนละคันกับที่นำมาใช้บรรทุกแตงโม จึงได้เตรียมน้ำมันมาก่อเหตุจุดไฟทำลายรถคันดังกล่าว แต่พอไปถึงในวัดกลับไม่พบแฟนสาว มีเพียง นายราเชน พ่อค้าขายแตงโมนั่งอยู่ ด้วยความโมโหจึงราดน้ำมันจุดไฟเผาทันที

ส่วนกระแสข่าวที่ว่า อดีตแฟนสาวมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ เบื้องต้น นายเพลิน ยังไม่กล่าวถึงบุคคลอื่น โดยภาพจากกล้องวงจรปิด ก็ยังไม่พบว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนมูลเหตุจูงใจอื่นๆ เช่น เรื่องความขัดแย้งในการเก็บค่าที่จอดรถภายในวัด ตำรวจจะขยายผลสอบสวนต่อไป เช่นเดียวกับตัวนายติ๊ก ที่ตอนนี้ตำรวจก็ยังอยู่ระหว่างการสอบปากคำ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุด้วยหรือไม่ เนื่องจากนายติ๊กอ้างว่าไม่รู้ว่านายเพลินจะก่อเหตุวางเพลิงจุดไฟเผานายราเชน ทราบเพียงว่าให้มาเป็นเพื่อน มาช่วยขับรถ และ นายเพลินได้บอกให้กลับไปก่อน ซึ่งหากพบว่าเข้าข่ายร่วมกระทำความผิด ก็จะมีการแจ้งข้อหาต่อไป

ส่วนคนขับกระบะที่ไปส่งนายเพลินที่จังหวัดมุกดาหารนั้น ตำรวจก็เรียกมาสอบปากคำแล้ว ซึ่งเจ้าตัวก็อ้างว่า ได้รับการว่าจ้างให้ไปส่งผู้ต้องหาไปทำงานที่ จ.มุกดาหาร ไม่รู้ว่านายเพลินไปก่อเหตุอะไรมา แต่เมื่อทราบก็ให้ความร่วมมือกับตำรวจเป็นอย่างดี และพาตำรวจไปชี้จุดที่ส่งนายเพลินลง ซึ่งเมื่อตำรวจติดตามไปถึงจังหวัดมุกดาหาร ก็พบว่านายเพลินหนีเข้าป่าหลังรีสอร์ทไปแล้ว ตำรวจต้องปิดล้อมป่า ใช้โดรนบิน ใช้สุนัขตำรวจติดตามดมกลิ่น มุดท่อ และพายเรือตามหาในแม่น้ำ กดดันนานกว่า 1 วัน 1 คืน จนนายเพลินหมดหนทางหนี และหิวโซ จึงได้ติดต่อเพื่อนให้นำอาหารมาให้ แต่เพื่อนก็ให้ความร่วมมือกับตำรวจเพื่อล่อนายเพลินออกมา แต่นายเพลินไหวตัวทัน สุดท้ายเพราะทนพิษความหิวโหยไม่ไหว จึงกำเงิน 1,000 บาทออกมาซื้ออาหารที่ปั๊มน้ำมัน ซึ่งตำรวจได้ดักรออยู่แล้ว และเข้าจับกุมตัวได้สำเร็จ

ทั้งนี้ ระหว่างคุมตัวนายเพลินออกจากห้องสอบสวน มายังห้องขัง นายเพลินอ้างว่าทำคนเดียว ไม่มีผู้ร่วมก่อเหตุ เพราะหนักใจที่ผู้ตาย ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทตนเอง แต่กลับมาคบชู้กับภรรยา โดยไม่ได้มีการพูดคุยเคลียร์ใจกับผู้ก่อเหตุก่อนลงมือ และก็ไม่ได้มีการวางแผนดูลาดเลาใดๆ เป็นการบันดาลโทสะ ทั้งนี้ขอโทษผู้ตายและครอบครัวผ่านสื่อมวลชนด้วย ส่วนหลังก่อเหตุก็ไม่มีใครช่วยพาหลบหนี ขับรถหนีไปมุกดาหารเอง เพราะตนเองก็ทำงานอยู่ที่นั่น หลังเกิดเหตุเห็นข่าวแล้วก็ตกใจ คิดจะมอบตัวและรู้สึกผิดอยู่

เบื้องต้นตำรวจเปลี่ยนข้อหาจากพยายามฆ่า เป็นข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยกระทำการทารุณกรรม และวางเพลิงเผาทรัพย์ เนื่องจากนายราเชนเสียชีวิตแล้ว และจะนำตัวนายเพลินไปฝากขังศาลอาญากรุงเทพใต้ในวันพรุ่งนี้ พร้อมคัดค้านการประกันตัวเนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ อัตราโทษสูง เกรงว่าคนร้ายจะหลบหนี