เมื่อวันที่ 11 ก.พ. นายสุรพงษ์ กองจันทึก อดีตประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ แนะกระทรวงสาธารณสุขในการรับมือปัญหาสาธารณสุขในพื้นที่พักพิงชั่วคราว เนื่องจากรัฐบาลอเมริกาถอนการสนับสนุนช่วยเหลือ ด้วยการเข้าไปดูแลสถานพยาบาลอย่างต่อเนื่อง และตั้งอาสาสมัครสาธารณสุขผู้หนีภัย

จากกรณีรัฐบาลสหรัฐอเมริกา หยุดให้การสนับสนุนงบประมาณโครงการด้านการดูแลสุขภาพและการคุ้มครองในพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ ชายแดนไทย-เมียนมา ผ่านองค์กร International Rescue Committee (IRC) เป็นระยะเวลา 3 เดือน เพื่อทบทวนนโยบายต่างประเทศ ส่งผลให้สถานพยาบาลในพื้นที่พักพิงชั่วคราวต้องปิด เนื่องจากไม่มีแพทย์และเจ้าหน้าที่ดูแล

ต่อมาเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า มีมาตรการเร่งด่วน คือ จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ ประสานงานกับโรงพยาบาลชายแดนเพื่อรองรับผู้ป่วย มีการรายงานสถานการณ์ทุกวัน และออกแนวทางปฏิบัติให้โรงพยาบาลชายแดน พร้อม Rapid Response Team (RRT) ทำงานร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด จัดทีมแพทย์เคลื่อนที่จากโรงพยาบาลแม่ข่ายเข้าไปตรวจรักษาในพื้นที่พักพิงทุกสัปดาห์ โดยโรงพยาบาลชายแดนสนับสนุนบุคลากรแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพิ่มเติม ใช้ระบบ Telemedicine เพื่อลดการเดินทาง และประสานภาคประชาสังคมร่วมสนับสนุนการดูแลสุขภาพจัดระบบส่งต่อกรณีฉุกเฉินและโรคเรื้อรังไปยังโรงพยาบาลแม่ข่าย โดยไม่ต้องใช้เอกสารซับซ้อน จัดรถพยาบาลเฉพาะกิจ และเพิ่มงบประมาณพิเศษให้โรงพยาบาลชายแดน รองรับค่าใช้จ่ายดูแลผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น สำรองยาและเวชภัณฑ์เพิ่มเติม จัดการสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม และ ควบคุมป้องกันโรคติดต่อ/โรคระบาด

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า การรักษาพยาบาลเป็นสิทธิมนุษยชนหรือสิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนต้องได้รับโดยไม่มีการยกเว้น เพราะนอกจากให้ผู้หนีภัยมีสุขภาพที่ดีแล้ว ยังเป็นการป้องกันการแพร่กระจายของโรคติดต่ออีกด้วย ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่กระทรวงสาธารณสุข ต้องเข้าไปดูแลผู้หนีภัยในพื้นที่พักพิงชั่วคราวเนื่องจากการเจ็บป่วยไม่มีวันหยุด มีทุกวันไม่เลือกวัน การส่งแพทย์เคลื่อนที่เข้าไปสัปดาห์ละครั้ง จึงไม่เพียงพอ และไม่ทันต่อการเจ็บป่วย ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีสถานพยาบาลประจำและมีแพทย์ประจำในที่พักพิงชั่วคราว รวมทั้งสนับสนุนให้โรงพยาบาลในพื้นที่ รับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยการสนับสนุนแพทย์ งบประมาณ และวัสดุอุปกรณ์จึงเป็นเรื่องจำเป็นและเร่งด่วนอย่างยิ่ง ความล่าช้านำมาสู่การสูญเสีย ซึ่งชีวิตของมนุษย์มีค่าและสำคัญอย่างยิ่ง

นายสุรพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้งานด้านสาธารณูปโภคและการอนามัยในที่พักพิงชั่วคราว ก็มีความจำเป็นและสำคัญเช่นกัน ที่กระทรวงสาธารณสุขต้องเข้าไปบริหารและจัดการ ไม่ว่าจะเป็นระบบน้ำสะอาด จัดเก็บขยะ ป้องกันโรค เพราะด้านสาธารณสุขไม่ได้มีเพียงการตั้งรับในสถานพยาบาล  ตลอดถึงการตั้งให้มีอาสาสมัครด้านสาธารณสุขผู้หนีภัย เช่นเดียวกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่มีอยู่ในหมู่บ้านคนไทย ก็จำเป็นเร่งด่วนต้องทำ ที่สำคัญคือรัฐบาลต้องมีนโยบายและมาตรการแก้ไขปัญหาผู้หนีภัยในที่พักพิงชั่วคราวอย่างจริงจัง ไม่ใช่การนำคนเหล่านี้มาควบคุมไว้ไม่ให้ไปไหน และให้องค์กรระหว่างประเทศมาสงเคราะห์ไปเรื่อยๆ ดังเดิม 

เมื่อองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาช่วยเหลือน้อยลง และคนเหล่านี้กลับประเทศต้นทางไม่ได้ ไปประเทศที่สามก็มีเพียงเล็กน้อย  แนวทางการให้คนเหล่านี้ สามารถทำงานเป็นแรงงานกลุ่มพิเศษในเงื่อนไขที่รัฐกำหนด จะช่วยให้คนเหล่านี้มีรายได้เลี้ยงชีพอย่างถูกต้อง และรองรับแรงงานที่ไทยยังขาดแคลนจนต้องนำเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ผู้หนีภัยในที่พักพิงชั่วคราวปัจจุบันมีจำนวนแปดแสนกว่าคน ส่วนใหญ่เป็นเด็กและผู้สูงอายุ ดังนั้นจะมีผู้เป็นแรงงานราวสามหมื่นคน ซึ่งเป็นจำนวนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความต้องการแรงงานต่างด้าวของไทยที่มีมากกว่าสามล้านคน คือเพียง 1% ของแรงงานต่างด้าวเท่านั้น