เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 68 ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีหนังสือคำสั่ง ตร.ที่ 61/2568 ลงวันที่ 11 ก.พ. เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ใจความว่า ด้วย ปรากฏจากการรายงานการตรวจสอบข้อมูลประเด็นทางสื่อสังคมออนไลน์ กรณีเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โซเชียลมีเดีย) ตรวจพบการนำเสนอข่าวบนสื่อสังคมออนไลน์ ในประเด็นเกี่ยวกับนายตำรวจยศ พล.ต.ต. มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจเมียวดีคอมเพล็กซ์ ซึ่งภายหลังได้เปิดเผยชื่อคือ พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ ผู้บังคับการ กองตรวจราชการ 5 รักษาราชการแทน ผู้บังคับการกองตรวจราชการ 6 โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1.รายการคลุกวงใน อินไซต์ข่าว ซึ่งได้เผยแพร่วิดีโอ บนแพลตฟอร์มยูทูบ ชื่อช่อง Zaabnews เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 มีความยาว 16.24 นาที นำเสนอประเด็น “บ่อน แก๊งคอลฯจะปราบยังไหว เมื่อตำรวจไทยคลุกวงในกับโจร จะไม่ให้จีน ‘หยามกันถึงถิ่น’ ได้ไง” ซึ่งในเนื้อหามีการกล่าวถึงตำรวจของไทยเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจการพนันในเมียวดี ตั้งแต่ทางเมียวดีเปิดให้บริหารใหม่ๆ เป็นตำรวจที่อยู่ในอำเภอแม่สอด มียศเป็น พล.ต.ต. เรียกกันว่า นายพล ต. โดยแม่สอดเป็นเส้นทางของส่วยทั้งหลายที่มีอำนาจแถวนั้นรวมถึงที่กรุงเทพฯด้วย

2.เว็บไซต์ ThaiPBS ได้นำเสนอข่าวโดยมีประเด็นนำเสนอคือ “รังสิมันต์” แย้มข้อมูลตำรวจยศ “พลตำรวจตรี” เอี่ยวธุรกิจกาสิโนเมียวดี เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ระบุถึงปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศไทยว่าปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้กระทบต่อประเทศไทยอย่างมาก สำหรับประเด็นเรื่องนายตำรวจยศ “พลตำรวจตรี” ที่มีข้อมูลเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และกาสิโนดังกล่าวนั้น ในส่วนของกรรมาธิการ ก็มีบทบาทหน้าที่ในเรื่องของการรวบรวมข้อมูล และให้เวลากับรัฐบาลในการจัดการ โดยยืนยันว่า ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้รวบรวมเอกสารพยานหลักฐานทั้งหมดไว้ โดยให้กลไกของสภาดำเนินการ และอาจจะใช้กลไกอื่นด้วยหรือไม่ให้รอติดตาม แต่ยืนยันว่าไม่นิ่งเฉยอย่างแน่นอน

3.เว็บไซต์ NationTV ได้นำเสนอข่าว เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 โดยมีประเด็นนำเสนอว่าใครคือ “นายพล ต.” ตัวละครสำคัญโยง “เมียวดีคอมเพล็กซ์” ซึ่งมีการกล่าวหาว่า มีนายตำรวจระดับ “นายพล” เกี่ยวข้อง โดยมีตัวย่อออกมาว่า “นายพล ต.” เป็นหุ้นส่วนในอัครสถานบันเทิงและบ่อนกาสิโนนาม “เมียวดีคอมเพล็กซ์” หนึ่งในห้าเขตเศรษฐกิจชายแดนที่ว่ากันว่าเป็นแหล่งฟอกเงิน และธุรกิจผิดกฎหมาย ขนาดใหญ่ริมชายแดนไทย-เมียนมา

4.เว็บไซต์ PPTVHD36 นำเสนอประเด็น เปิดใจ “ผู้การต๊ะ” ชี้แจงทุกปมเมียวดีคอมเพล็กซ์ ทีมข่าวพีพีทีวี ติดต่อไปที่ พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ หรือ “ผู้การต๊ะ” อดีตผู้บังคับการกองตรวจราชการ 5 หรือจเรตำรวจภาค 5 ซึ่งเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 มีคำสั่งโยกย้ายมาเป็น ผู้บังคับการ กองตรวจราชการ 6 หรือ จเรตำรวจภาค 6 ผู้การต๊ะให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวเรื่องของ “เมียวดีคอมเพล็กซ์” ว่า “พี่ไม่ได้อยากเข้าไปเป็นประเด็น เพราะเรื่องที่ถูกโยงตอนนี้ไม่ได้เกี่ยวกับพี่อยู่แล้ว ธุรกิจเป็นธุรกิจที่ต่างประเทศ ชื่อพี่ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ด้วยซ้ำไป ถ้าพี่ทำอะไรผิดกฎหมายเนี่ย มันโดนตรวจสอบมาตั้งแต่หลายปี”

ดังนั้น เพื่อให้ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาพฤติการณ์ และหลักฐานในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกระทำผิดวินัยหรือไม่ ประการใด อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 63 มาตรา 105 จึงแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว ประกอบด้วยบุคคลดังต่อไปนี้

1.พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นประธานกรรมการ
2.พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผู้บังคับการตำรวจน้ำ รักษาราชการแทน ผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นกรรมการ
3.พ.ต.อ.ศราวุธ ศรีสุขศิริพันธ์ รองผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นกรรมการ
4.พ.ต.อ.สุมรภูมิ ไทยเขียว รองผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นกรรมการ
5.พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น รองผู้บังคับการปราบปราม เป็นกรรมการ
6.พ.ต.อ.สถาปนา จุณณวัตต์ ผู้กำกับการ 6 กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นกรรมการ
7.พ.ต.อ.ชิษณุพงศ์ ไหวดี ผู้กำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นกรรมการ
8.พ.ต.อ.รัชภูมิ กุสุมาลย์ ผู้กำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ เป็นกรรมการ
9.พ.ต.อ.เอกสิทธิ์ ปานสีทา ผู้กำกับการ 4 กองบังคับการปราบปราม เป็นกรรมการ
10.พ.ต.อ.ศานุวงษ์ คงคาอินทร์ ผู้กำกับการ 4 กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นกรรมการและเลขานุการ
11.พ.ต.ท.พงศ์ปณต บัวแก้ว รองผู้กำกับการ (สอบสวน) กองกำกับการ 4 กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
12.พ.ต.ท.พิทยา คงเจริญ รองผู้กำกับการ 5 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
13.พ.ต.ท.ธนายุทธ ชูเฉลิม รองผู้กำกับการ (สอบสวน) กองกำกับการ 6 กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
14.พ.ต.ท.อำนวย วิชิตโสภณ สารวัตรกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
15.พ.ต.ท.ไสว จันทร์มา สารวัตรกองกำกับการ 4 กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
16.ว่าที่ พ.ต.ท.กิตติพงศ์ ศิลาพันธุ์ สารวัตรกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปราม เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
17.พ.ต.ต.อัครพล ปัทมานุสรณ์ สารวัตรกองกำกับการ 4 กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
18.พ.ต.ต.กิตติกร วงศ์สุนทรทรัพย์ สารวัตร (สอบสวน) กองกำกับการ 4 กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
19.ร.ต.อ.นราวิชญ์ เปี้ยสุ รองสารวัตรกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปราม เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
20.ร.ต.อ.ภิรวัฒน์ พักประไพ รองสารวัตร (สอบสวน) กองกำกับการ 4 กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ

ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ประธานกรรมการรับทราบคำสั่ง แล้วเสนอรายงานผลการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป

อนึ่ง ถ้าคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เห็นว่ากรณีมีมูลว่าข้าราชการตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกระทำผิดวินัยในเรื่องอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในคำสั่งนี้ หรือกรณีที่การตรวจสอบข้อเท็จจริงพาดพิงไปถึงข้าราชการตำรวจผู้อื่นและคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงพิจารณาในเบื้องต้นแล้วเห็นว่า ข้าราชการตำรวจผู้นั้นมีส่วนร่วม หรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำในเรื่องที่ตรวจสอบนั้นอยู่ด้วย ให้ประธานกรรมการรายงานมาโดยเร็ว

ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. มีคำสั่ง ตร.ที่ 63/2568 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใจความว่า ด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีที่ปรากฏข้อมูลประเด็นทางสื่อสังคมออนไลน์ ว่ามีข้าราชการตำรวจยศ พลตำรวจตรี มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจเมียวดีคอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นสถานบันเทิงและบ่อนกาสิโน รวมทั้งเป็นแหล่งฟอกเงินและธุรกิจผิดกฎหมายขนาดใหญ่ริมชายแดนประเทศไทยและประเทศเมียนมา

ซึ่งภายหลังได้มีการเปิดเผยชื่อคือ พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินทร์ต๊ะสืบ ผู้บังคับการ กองตรวจราชการ 5 สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาพฤติการณ์และหลักฐานในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดวินัยหรือไม่ประการใด

เนื่องจากเป็นประเด็นสำคัญที่อยู่ในความสนใจของประชาชนและสังคมในวงกว้าง ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการตำรวจได้ประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่ หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่ากระทำความผิดทางวินัยหรืออาญา หากให้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้

ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ และมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ประกอบระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2566

จึงให้ พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินทร์ต๊ะสืบ ผู้บังคับการ กองตรวจราชการ 5 รักษาราชการแทน ผู้บังคับการกองตรวจราชการ 6 ช่วยราชการที่ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาคาร 1 ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มอบหมาย เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย

ทั้งนี้ ให้ยกเว้นหลักเกณฑ์กรณีการไปช่วยราชการสิ้นสุดลงตามข้อ 11 และข้อ 13 (2) ของระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2566

อนึ่ง บรรดาคำสั่งหรือการมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่อื่นใดที่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งนี้ ให้ยกเลิกในส่วนที่ขัดหรือแย้งและใช้คำสั่งนี้แทน ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง.