เมื่อวันที่ 11 ก.พ. เวลา 09.55 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีที่รัฐบาลไทย ดำเนินมาตรการสั่งระงับจ่ายไฟฟ้า สัญญาณอินเตอร์เน็ต และห้ามส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงไปยัง 5 พื้นที่ชายแดนเมียนมา เพื่อปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ว่า หลายประเทศมีเสียงสะท้อนที่ดีและสนับสนุนการดำเนินการของไทย ว่าจะช่วยแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้
เมื่อถามว่ามีผู้เสนอให้ไทยใช้มาตรการเดียวกันนี้กับพื้นที่ปอยเปตในกัมพูชา และคิงส์โรมันใน สปป.ลาว ด้วย นายมาริษ กล่าวว่า กรณีนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องขอพิจารณาก่อน อย่าเพิ่งไปพูดอะไรในขณะนี้ โดยที่ยังไม่มีข้อมูลพื้นฐาน
ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลเมียนมาให้ข้อเสนอแนะ มีข้อห่วงใย หรือขอความช่วยเหลืออะไรจากไทยหรือไม่ หลังจากที่เราดำเนินการมาตรการดังกล่าว รมว.การต่างประเทศ กล่าวว่า โดยปกติ เรามีการพูดคุยกับรัฐบาลเมียนมาอยู่ตลอด แต่ฝ่ายเมียนมาไม่ได้มีข้อเสนออะไร ทั้งนี้ทุกคนมีความตั้งใจอย่างยิ่งร่วมกันแก้ปัญหาดังกล่าว ตามที่นายกรัฐมนตรีได้บอกกับทุกประเทศและทุกองค์กรรู้ว่าเป็นปัญหาสำคัญว่าสร้างภาระและผลเสียกับทุกฝ่าย
เมื่อถามว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กำลังจะยื่นขอหมายจับ พ.อ.หม่องชิตตู ผู้นำกองกำลังบีจีเอฟ ที่ปกครองเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา และผู้ต้องหาอีก 2 ราย คดีค้ามนุษย์ ฝ่ายไทยได้ประสานงานกับรัฐบาลเมียนมาถึงเรื่องนี้แล้วหรือไม่ นายมาริษ กล่าวว่า ตนไม่ทราบเรื่องนี้ ต้องให้ผู้ที่มีหน้าที่โดยตรงเป็นผู้พิจารณา
ต่อข้อถามว่ารัฐบาลเมียนมาไม่มีอำนาจเข้าไปจัดการพื้นที่ของชนกลุ่มน้อย เราได้หารือถึงการขอให้อาเซียนเข้ามาร่วมกดดันด้วยหรือไม่ นายมาริษ กล่าวว่า ต้องใช้วิธีตัดไฟเพื่อกดดันชนกลุ่มน้อย ซึ่งเป็นวิธีที่ทุกฝ่ายเห็นด้วย เมื่อถามว่ารัฐบาลเมียนมาเห็นด้วยกับมาตรการของไทยทุกอย่าง ที่กดดันชนกลุ่มน้อยใช่หรือไม่ นายมาริษ กล่าวว่า นี่คือสิ่งที่รัฐบาลเมียนมาพูดมาตลอดว่าเขายินดีร่วมมือกับเรา รวมถึงลาวและประเทศอื่น ก็ร่วมมือด้วยเช่นกัน