สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 ก.พ. ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร ตั้งกำแพงภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากทุกประเทศบนโลก เพิ่มจากอัตราเดิมอีก 25% โดยไม่มีข้อยกเว้นให้แก่ประเทศใด ขณะเดียวกัน ทรัมป์กล่าวว่า กำลังพิจารณาการขึ้นภาษียานยนต์ ยาและเวชภัณฑ์ และชิปสำหรับคอมพิวเตอร์
แม้สหรัฐเป็นประเทศที่ยังคงต้องนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่มาจากแคนาดา เม็กซิโก และบราซิล แต่หลายฝ่ายเชื่อว่า การกำหนดกำแพงภาษีครั้งนี้ พุ่งเป้าตรงไปที่จีน ซึ่งเป็นผู้ส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมรายใหญ่ที่สุดของโลก
???? President Trump signs 25% tariffs on steel imports:
— Rapid Response 47 (@RapidResponse47) February 10, 2025
"This is a big deal. This is the beginning of making America rich again." pic.twitter.com/szpQ17GQh1
ทั้งนี้ การที่ทรัมป์เคยตั้งกำแพงภาษีเหล็กจากจีน ในอัตราเพิ่มเติม 25% และอีก 10% สำหรับอะลูมิเนียม ตั้งแต่การดำรงตำแหน่งสมัยแรก และได้รับการสานต่อตลอด 4 ปี ในยุคประธานาธิบดีโจ ไบเดน หมายความว่า เหล็กจากจีนที่จะส่งมายังสหรัฐ จะเผชิญกับอัตราภาษีไม่ต่ำกว่า 50% และไม่น้อยกว่า 25% สำหรับอะลูมิเนียม
ทว่าในความเป็นจริง จีนไม่ส่งออกสินค้าดังกล่าวมายังอเมริกาโดยตรง ส่วนใหญ่ผ่านการแปรรูปในประเทศที่สาม ก่อนส่งออกสู่สหรัฐ
แน่นอนว่า เหล็กและอะลูมิเนียมที่จำหน่ายในสหรัฐนับจากนี้ จะมีราคาแพงขึ้น เพราะกำแพงภาษีจะกระทบการตัดสินใจและกำลังการผลิตของผู้ผลิตในประเทศ ในการนำเข้าวัตถุดิบ
จริงอยู่ที่กำแพงภาษีจะทำให้ผู้ผลิตในประเทศได้เปรียบ เนื่องจากทำให้การนำเข้าลดลงชั่วคราว และเป็นการเพิ่มการผลิตภายในประเทศ แต่ยังมีลูกค้าอีกหลายรายที่ต้องนำเข้าสินค้าเหล่านี้ อีกทั้งกำแพงภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมที่ทรัมป์เคยใช้มาแล้ว เมื่อปี 2561 จุดชนวนให้นานาประเทศเพิ่มกำแพงภาษีกับสินค้าของสหรัฐเช่นกัน.
เครดิตภาพ : AFP