เมื่อวันที่ 9 ก.พ.68 นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โพสต์ว่าต้องตั้งหลัก แยกแยะ จับประเด็นให้ถูกครับ กรณี สส.ถูกหมายจับดำเนินคดีในข้อหาข่มขืน
โดยทั่วไป ตราบใดที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินก็ต้องถือว่าผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
นั่นใช่ครับ
แต่ด้วยสถานะผู้แทนของประชาชนทำหน้าที่ในสภา เมื่อถูกแจ้งดำเนินคดีร้ายแรงเช่นนี้ ความรับผิดชอบก็ต้องมากกว่าคนปกติทั่วไป เพราะนี่คือมาตรฐานทางจริยธรรม และไม่ใช่เรื่องส่วนตัวเพียงคนๆเดียว แต่เป็นเรื่องของสังคมโดยรวม และที่ส่งผลกระทบในทางลบต่อภาพลักษณ์และเกียรติภูมิของประเทศชาติด้วย

การบอกว่าถ้าลาออกไปแล้ว เกิดพิสูจน์ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ภายหลังจะชดเชยเขายังไง เป็นการหามแบกที่แสดงถึงตรรกะแปลกประหลาดของความไม่เข้าใจง่ายๆ ระหว่างเรื่องส่วนตัวของการเป็นผู้ถูกกล่าวหา กับเรื่องจริยธรรมและเรื่องของส่วนรวมประเทศชาติ ที่อันไหนควรต้องมาก่อนกัน
การบอกว่าผู้ถูกกล่าวหาในคดีร้ายแรงที่น่ารังเกียจเช่นนี้ สามารถทำหน้าที่ต่อไปในสภาฯ ได้นั้น จะคือการสื่อสารให้ประชาชนชาวไทยและทั้งโลกรับรู้ว่าอย่างไรหรือครับ? และในทางปฏิบัติ ยังจะมานั่งทำหน้าที่อะไรได้อีก หากยังไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้?
หากลำพังสำนึกเพื่อประเทศชาติส่วนรวมยังไม่มี แล้วจะมาทำหน้าที่อะไรในสภา? ยิ่งไปกว่านั้น หากพิสูจน์ว่าผิดจริง แล้วความเสียหายที่เกิดกับประเทศชาติจากการไม่ยอมลาออกก่อน ใครจะเป็นคนชดใช้หรือครับ?
ผมเห็นว่า เพื่อไม่เป็นการสร้างความเสื่อมเสียแก่ประเทศชาติส่วนรวมไปมากกว่านี้อีก สส.ที่ถูกแจ้งความในข้อหาความผิดกรณีนี้ควรจะต้องลาออกทันที
ทั้งนี้ ผมแค่ชี้ แต่ไม่ได้เรียกร้องให้ลาออกนะครับ ให้ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวเองเลย จะรอดูระดับจริยธรรม จิตสำนึกในประเทศชาติสังคมส่วนรวม จะรอดูความกล้าหาญ รวมทั้งความฉลาด/โง่ ว่ามีแค่ไหน? และใครยังอยากจะหามแบกต่อไปอีก ก็เอาเลยเชิญตามสบายครับ