วันที่ 8 ก.พ. “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร เสร็จภารกิจที่ประเทศจีน เมื่อเดินทางกลับไทย ก็ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคร่วมฝ่ายค้าน เตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลวันที่ 27 ก.พ. ว่า ยินดีตอบทุกคำถาม เชื่อว่า ฝ่ายค้านจะอภิปรายประเด็น “อดีตนายกฯแม้ว” ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพ่อ เรื่องพักชั้น 14 รพ.ตำรวจ ถ้าไม่มีจะแปลกใจ ซึ่งตนเองจะชี้แจงหรือไม่ก็ต้องนัดแนะกันก่อน มิฉะนั้นจะพูดทับซ้อนกันไปมา ประชาชนเสียเวลาฟัง เอาเรื่องที่ตรงประเด็นดีกว่า ไม่อยากให้เป็น Episode (บท) แรกของซีรีส์อะไรสักอย่าง

ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสการปรับ ครม. นายกฯ ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ไม่ปรับค่ะๆ ข่าวแบบนี้ออกมา ถ้าดิฉันเป็นรัฐมนตรีจะรู้สึกว่าเอ๊ะเราจะโดนปรับหรือเปล่า มันสร้างความสั่นคลอนโดยไม่จำเป็น ไม่ได้จะปรับ และจริงๆ ถ้าจะปรับคงต้องมีการพูดคุยในเนื้องานก่อน ดิฉันเพิ่งมาเป็นนายกฯ ไม่นาน ก็อยากให้งานต่อเนื่อง รัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นมาก็ยังเป็นได้ไม่นาน เราต้องอาศัยความต่อเนื่องของการทำงาน และจำเป็นมากๆ ที่ทุกกระทรวงต้องรู้สึกปลอดภัยและแข็งแรงทำงานต่อได้ พอมีอะไรออกมาแบบนี้ก็ไม่ดี การจะบอกว่าปรับ ครม. หรือไม่ ดิฉันจะเป็นคนตอบเอง ไม่ใช่คนอื่นตอบ”

เมื่อถามว่า กระแสข่าวที่ออกมาระบุ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม จะกลับเข้ามาเป็นรัฐมนตรี รวมถึงมีการสลับกระทรวงในพรรคร่วมรัฐบาลและการปรับ ครม. จะเกิดขึ้นหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯ กล่าวว่า ได้ทราบข่าว ก็รู้สึกว่ามาเป็นมหากาพย์เหมือนกัน ซึ่งไม่มีอะไรตรงกับสิ่งที่คิดเลยแม้แต่นิดเดียว

วันที่ 13-14 ก.พ. จะมีการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.256 ซึ่งจะเพิ่มหมวดการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ด้วย จะพิจารณาสองร่างคือของพรรคประชาชน (ปชน.) และพรรคเพื่อไทย “แด๊ก” ธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เชื่อว่า คงไม่ผ่านเพราะปมประชามติ

“คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ที่เป็นบรรทัดฐานไว้แล้วว่า ในการแก้ไขและร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ต้องจัดทำประชามติก่อนและหลังจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ หากไม่ทำประชามติท้ายที่สุด จะมีปัญหาภายหลังเรื่องความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างรัฐธรรมนูญที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมตามมาอย่างแน่นอน จะยกร่างทั้งฉบับโดยไม่ทำประชามตินั้นสุ่มเสี่ยงอย่างมาก ทั้งต่อผู้เสนอร่างและสมาชิกรัฐสภาที่ร่วมพิจารณาเห็นชอบร่างด้วย สุ่มเสี่ยงที่จะถูกฟ้องเอาผิดฐานละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรงและอาจถูกส่งให้ ป.ป.ช. ถอดถอนได้”
นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประธานวิปรัฐบาล ยังมีความคิดว่า จะต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า จะทำประชามติกี่ครั้ง แต่พรรคเพื่อไทยคงไม่ทำ เพราะอยากแก้ไขรัฐธรรมนูญ และหากศาลรัฐวินิจฉัยก็ต้องชะงักการลงมติไว้ก่อน สว. ไม่เห็นด้วยก็ลงมติได้ แต่มีบางส่วนที่เป็นนักประชาธิปไตยก็เห็นด้วย ตนรับได้ทุกทาง เชื่อครึ่งหนึ่งว่าจะได้เสียง สว. ถึง 1 ใน 3 ยังไม่สามารถเดาใจ สว. ได้

ส่วนเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ต้องนำเข้าที่ประชุมวิป 3 ฝ่าย เพื่อตกลงเรื่องกรอบเวลา และหาเวลาที่เหมาะสมว่านายกฯ และ ครม. สามารถตอบชี้แจงในที่ประชุมสภาโดยไม่ติดภารกิจได้ ที่ฝ่ายค้านขอเวลาซักฟอกรัฐบาล 5 วัน จากที่อยู่สภามาไม่เคยเห็นซักฟอกรัฐบาลนานขนาดนั้น เห็นว่า 2 วันก็เพียงพอ ขออภิปรายแต่เนื้อ ไม่เอาน้ำ และถ้าจะอภิปราย คนนอกที่ไม่ใช่นายกฯ และรัฐมนตรี หากถูกฟ้องต้องรับผิดชอบกันเอง
เรื่องน่าสนใจในสังคมอีกอย่างคือ “เราจะเอาอย่างไรกับกาสิโน และบ่อนออนไลน์” จะเอาบ่อนออนไลน์ถูกกฎหมายหรือไม่ ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคม ได้จัดเสวนาเรื่อง “สังคมเศรษฐกิจไทยในนโยบาย กาสิโนและพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย“ ในงาน “อดีตนายกฯ มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวว่า การพนันออนไลน์ที่จะทำให้ถูกกฎหมาย มีอันตรายกว่าทำกาสิโน เมื่อไรที่เอาสิ่งผิดกฎหมายขึ้นมาบนดินให้ถูกกฎหมาย ที่สุดมันจะมีการขยายตัวของบ่อนการพนันเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก ตรงกันข้ามถ้าเปรียบเทียบกับในเรื่องของการบริการทางเพศ ถ้าทำให้ถูกกฎหมาย ยังจะช่วยเรื่องค้ามนุษย์ หรือการป้องกันของปัญหาสังคมได้มากกว่า

นางนวลน้อย ตรีรัตน์ ผอ.ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน กล่าวว่า ปัจจุบันรัฐอ้างว่าลอตเตอรี่ 1 งวด จะมีรายได้งวดละ 4 หมื่นล้านบาท แต่เราไม่เคยเห็นเงินพวกนี้เลย จึงไม่รู้ว่ารัฐเอาไปใช้ประโยชน์อะไร แล้วมาอ้างว่าถ้าทำกาสิโนจะมีรายได้เข้ารัฐเพิ่มอีก 2 หมื่นล้านบาท ส่วนที่ล้มเหลว หลายคนจะพูดถึงฟิลิปปินส์ที่เปิดให้มีกาสิโนถูกกฎหมายมาตั้งแต่ปี 2520 เพื่อเพิ่มนักท่องเที่ยว บริหารโดยรัฐบาล แต่เพราะความหละหลวมของกฎหมายที่ให้ฝ่ายบริหารสามารถล้วงเงินไปใช้ได้ตลอด และมีการออกใบอนุญาตเพิ่มให้เอกชน จนทำให้การแข่งขันสูง สุดท้ายมีการขายใบอนุญาตเพิ่มให้ทำกาสิโนออนไลน์ได้อีก บอกว่า ให้คนต่างประเทศเข้ามาเล่นในลักษณะออฟชอร์ (offshore การลงทุนสินทรัพย์ในต่างประเทศ)
แล้วมุ่งเน้นนักท่องเที่ยวจีน จนประเทศจีนทนไม่ไหว เพราะมีการทุจริตมาก และมาเก๊าก็มีปัญหามาก รัฐบาลจึงปราบคอร์รัปชั่นและห้ามข้าราชการจีนเอาเงินออกนอกประเทศ เพราะเชื่อว่าเป็นเงินจากการคอร์รัปชั่น และยังออกกฎหมายว่า ประเทศที่มีการพนันออนไลน์คือผิดกฎหมายจีน ฟิลิปปินส์ถูกขึ้นแบล็กลิสต์ ไม่มีคนไปเล่น ที่สุดคนท้องถิ่นก็เล่นแทนจนเกิดปัญหาสังคมรัฐจึงลดใบอนุญาตลง

อีกทั้งยังเป็นการรวมของแก็งคอลเซ็นเตอร์เข้ากับบ่อนกาสิโนผิดกฎหมายที่เกิดขึ้นจำนวนมาก มีคนต่างชาติถูกทรมาน มีการค้ามนุษย์ทุกอย่าง การทลายบ่อนกาสิโนในกรุงมะนิลาสามารถช่วยคนออกมากว่า 3,000 คน โดยเป็นชาวต่างชาติกว่า 1,000 คน จาก 17 ประเทศ เป็นคอลเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ คนไปเล่นพนันติดหนี้สิน คนชนะก็ถูกจับเรียกค่าไถ่ สุดท้ายประธานาธิบดีต้องประกาศยกเลิกใบอนุญาตพนันออนไลน์ทั้งหมดภายในเดือน ธ.ค. 2567 ธุรกิจกาสิโนคือเป้าหมายการฟอกเงิน แม้ในชาติตะวันตกที่มีการกำกับดูแลอย่างดี แต่ก็ยังมีพวกฟอกเงินเข้ามาโดยไปซื้อชิปและแลกเป็นเงินสะอาด สุดท้ายจีนเทาคือกลุ่มคนที่จะมาลงทุนในเรื่องนี้ในบ้านเราในอนาคต
ส่วนที่กัมพูชา มีบ่อนกาสิโนที่เมืองสีหนุวิลล์ที่ทุกวันนี้กลายเป็นเมืองร้าง เพราะเขาไม่ได้สกรีนคนที่มาลงทุน ก็เป็นทุนจีนสีเทามาพร้อมแก็งคอลเซ็นเตอร์ทำผิดกฎหมาย สุดท้ายรัฐบาลกัมพูชายอมให้มีพนันออนไลน์ พอไม่มีคนมาเล่น ก็กลายเป็นเมืองร้าง กลุ่มจีนเทาจึงย้ายมาทำกาสิโนที่เมียนมา ในเมียวดีติดชายแดนบ้านเรา ได้คุยกับตำรวจไซเบอร์ไทย เขายอมรับว่า ปอยเปตเป็นแหล่งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และพนันออนไลน์ วันนี้ตัดไฟทางเมียวดี แต่ทางปอยเปตยังไม่ได้จัดการ ที่สุดจะเป็นปัญหาตามมา
เป็นแง่มุมที่น่าสนใจ เพราะรัฐบาลคงไม่ค่อยอยากจะเปิดเผยตัวอย่างประเทศที่ล้มเหลว เราก็ต้องหากรณีศึกษา หาหลักฐานมาเป็นข้อมูลมากกว่าใช้ความเชื่อ “ไทยเป็นเมืองพุทธ” คำที่อาจารย์นวลน้อยพูด สั้นแต่น่ากลัวคือ “คนชนะก็ถูกจับเรียกค่าไถ่”

ปิดท้ายกันด้วยเรื่องผู้กอง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา พรรคกล้าธรรม (กธ.) เปิดเผยว่า ได้มีบุคคลแอบอ้างสร้างเพจเฟซบุ๊กปลอม “ธรรมนัส พรหมเผ่า” และส่งข้อความถึงคนที่รู้จัก และติดตามตนเองในเพจจริง รวมถึงประชาชนทั่วไปเป็นจำนวนมาก เพื่อขอให้ตอบรับเป็นเพื่อน ก่อนจะให้ลงทะเบียนรายละเอียดอื่นๆ จึงขอแจ้งเตือนทุกท่านที่ได้รับข้อความดังกล่าวว่า อย่าหลงเชื่อ เพราะเป็นเฟซบุ๊กปลอมแน่นอน จุดสังเกตชัดเจนของเพจปลอม คือมีผู้ติดตามแค่ 30 คน แต่เพจเฟซบุ๊กจริงมีผู้ติดตามกว่า 1 แสนคนแล้ว
“ขอเรียกร้องไปยังกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ตลอดจนตำรวจไซเบอร์ รวมถึงหน่วยรัฐที่เกี่ยวข้อง เร่งตรวจสอบเอาผิดเพื่อลงโทษตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลเหล่านี้ ไปสร้างเพจปลอมเป็นมิจฉาชีพหลอกลวงประชาชน สร้างความเสียหายอีก”
เฟซบุ๊กอวตาร ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการหลอกลวงออนไลน์ โดยเฉพาะการซื้อขายของ.
“ทีมข่าวการเมือง”