สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ว่า สำนักงานความร่วมมือความมั่นคงกลาโหม (ดีเอสซีเอ) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับการอนุมัติข้อตกลงขายอาวุธครั้งใหม่ให้แก่อิสราเอล ที่แบ่งเป็นการขายระเบิด ชุดนำวิถีและชนวนระเบิด รวมมูลค่าประมาณ 6,750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 228,757.49 ล้านบาท) และขีปนาวุธเฮลไฟร์ รวมมูลค่า 660 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 22,367.40 ล้านบาท)
.@StateDept ???????? authorizes a Foreign Military Sales #FMS case for ???????? #Israel for their purchase of munitions, guidance kits, fuzes, and support for an estimated cost of $6.75 billion. #FMSUpdate–https://t.co/UmEcDdTgBd pic.twitter.com/XWwu3yKMXv
— Political-Military Affairs, US Dept of State (@StateDeptPM) February 7, 2025
ทั้งนี้ ดีเอสซีเอระบุเหตุผลของการขายอาวุธให้แก่อิสราเอลในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถของอิสราเอล ในการเผชิญหน้ากับภัยคุกคามทั้งในปัจจุบันและอนาคต
.@StateDept???????? authorizes a Foreign Military Sales #FMS case for ???????? #Israel for their purchase of AGM-114 Hellfire Missiles and related equipment for an estimated cost of $660 million. #FMSUpdate–https://t.co/AUM3oj0b1B pic.twitter.com/A32eFRX0Zs
— Political-Military Affairs, US Dept of State (@StateDeptPM) February 7, 2025
ย้อนกลับไปเมื่อปลายเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ทรัมป์ยกเลิกคำสั่งของรัฐบาลสหรัฐชุดก่อนหน้าในยุคประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่เป็นระเบิดน้ำหนัก 2,000 ปอนด์ หรือราว 907 กิโลกรัม ซึ่งไบเดนสั่งระงับการส่งมอบ เมื่อเดือน พ.ค. ปีที่แล้ว โดยรัฐบาลวอชิงตันในเวลานั้นให้เหตุผลว่า “มีความวิตกกังวล” กับปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอล ในเมืองราฟาห์ ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา.
เครดิตภาพ : AFP