เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 68 นายแพทย์เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา คุณหมออารมณ์ดีเจ้าของเพจ “หมอเจด” ออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับอาการท้องผูก โดยระบุว่า ท้องผูก ติดยาระบาย แก้ได้แค่ทำตามนี้! พร้อมอธิบายว่า

มีใครเคยรู้สึกว่าท้องผูกบ่อยๆ ถ่ายยากบ้าง บางคนจนต้องหายาระบายมากินเลยนะ อันนี้ก็อาจเป็นสัญญาณของ “ลำไส้ขี้เกียจ” หรือ Lazy Bowel Syndrome อาการนี้เกิดขึ้นเพราะลำไส้ทำงานช้ากว่าปกติ ทำให้อาหารและของเสียค้างอยู่ในร่างกายนานเกินไป ทำให้รู้สึกอึดอัด ท้องผูก และไม่สบายตัว

วันนี้จะมาเล่าว่าทำไมลำไส้เราถึงขี้เกียจ และที่สำคัญ แก้ยังไงให้กลับมาทำงานดีเหมือนเดิม

1.ทำไมลำไส้ถึงขี้เกียจ?
ปกติแล้ว ลำไส้ของเราจะบีบตัวเป็นจังหวะ (Peristalsis) เพื่อดันอาหารและของเสียออกจากร่างกาย แต่ถ้ากระบวนการนี้ทำงานช้ากว่าปกติ ของเสียก็จะค้างอยู่ในร่างกายนานขึ้น ทำให้ท้องผูก อืดท้อง และรู้สึกไม่สบายตัว ซึ่งสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ลำไส้ขี้เกียจมีดังนี้

  • กินอาหารที่มีกากใยน้อย เช่น ขนมปังขาว ข้าวขาว อาหารแปรรูปเยอะๆ ทำให้ลำไส้ไม่มีแรงกระตุ้น
  • ดื่มน้ำน้อย ลำไส้ต้องการน้ำเพื่อช่วยให้อุจจาระนุ่มและเคลื่อนตัวได้ง่าย ถ้าน้ำน้อยเกินไป อุจจาระจะแข็ง ทำให้ถ่ายยาก
  • นั่งนาน ไม่ค่อยขยับร่างกาย การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ถ้านั่งทั้งวัน ลำไส้ก็จะเฉื่อยชา
  • ใช้ยาระบายบ่อยเกินไป การใช้ยาระบายติดต่อกันนานๆ ทำให้ลำไส้ชินกับการถูกกระตุ้น จนขี้เกียจทำงานเอง
  • เครียดสะสม สมองกับลำไส้มีความเชื่อมโยงกัน ถ้าเครียดมาก ลำไส้ก็จะทำงานผิดปกติไปด้วย
    ถ้าใครมีพฤติกรรมแบบนี้ ลองปรับดูนะ ไม่งั้นลำไส้จะยิ่งขี้เกียจขึ้นเรื่อยๆ ก็จะยิ่งแย่นะครับ

2.เช็กตัวเองว่าเป็นลำไส้ขี้เกียจหรือเปล่า?
ถ้าช่วงนี้รู้สึกว่าระบบขับถ่ายมีปัญหา ลองเช็กอาการเหล่านี้ดู ถ้ามีหลายข้อ แปลว่าลำไส้คุณอาจจะเริ่มขี้เกียจแล้วนะ
•ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
•อุจจาระแข็ง แห้ง ต้องใช้แรงเบ่งเยอะ
•รู้สึกแน่นท้อง อึดอัด ไม่ค่อยปวดถ่าย
•ไปเข้าห้องน้ำแล้ว แต่ไม่มีอะไรออก
•ต้องพึ่งยาระบายหรือเครื่องดื่มช่วยระบายเป็นประจำ
ถ้ามีอาการเหล่านี้เรื่อยๆ อย่าปล่อยไว้ เพราะอาจส่งผลต่อสุขภาพระยะยาว เช่น ริดสีดวง หรือโรคลำไส้แปรปรวน (IBS) ได้ เพราะฉะนั้นต้องรีบปรับพฤติกรรม ทำตามข้อต่อไปได้เลยนะครับ

3.วิธีแก้ลำไส้ขี้เกียจให้กลับมาทำงานปกติ
ถ้าอยากให้ลำไส้ขยับตัวดีขึ้น ลองทำตามนี้ รับรองว่าถ่ายดีขึ้นแน่นอน

  • เพิ่มไฟเบอร์ในอาหาร กินผักผลไม้เยอะๆ เลือกข้าวกล้อง ธัญพืช หรือเมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed) เพราะไฟเบอร์ช่วยเพิ่มมวลอุจจาระ ทำให้ขับถ่ายง่ายขึ้น
  • ดื่มน้ำเยอะๆ โดยเฉพาะตอนเช้าหลังตื่นนอน ดื่มน้ำอุ่นช่วยกระตุ้นลำไส้ได้ดีมาก
  • เติมโพรไบโอติกส์ (Probiotics) หรือตัวช่วยดีๆ ที่เป็นจุลินทรีย์มีประโยชน์ ช่วยให้ลำไส้ทำงานเป็นปกติ แหล่งโพรไบโอติกส์จากธรรมชาติ เช่น โยเกิร์ต คีเฟอร์ กิมจิ หรืออาหารหมักดอง หรือจะแบบอาหารเสริมก็ได้นะ
  • ออกกำลังกาย เดิน วิ่ง หรือโยคะช่วยกระตุ้นการเคลื่อนตัวของลำไส้ได้
  • ฝึกเข้าห้องน้ำเป็นเวลา ลองเข้าห้องน้ำเวลาเดิมทุกวัน แม้จะยังไม่รู้สึกปวด เพื่อฝึกให้ลำไส้ทำงานเป็นระบบ

4.ใช้ยาระบายได้ไหม? แล้วต้องใช้อย่างไรให้ปลอดภัย?
หลายคนที่ถ่ายไม่ออกอาจจะพึ่งพายาระบาย แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง เพราะถ้าใช้บ่อยๆ ลำไส้จะขี้เกียจหนักกว่าเดิม บอกเลยว่า อาจทำให้แย่กว่าเดิมได้
วิธีใช้ยาระบายแบบปลอดภัย
•เลือกชนิดที่อ่อนโยน เช่น Psyllium Husk (ใยอาหารเสริม) หรือ Lactulose ที่ช่วยเพิ่มกากใย
•เสริมโพรไบโอติกส์ควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ลำไส้ทำงานดีขึ้นในระยะยาว
•เลี่ยงยากระตุ้นลำไส้โดยตรง เช่น Bisacodyl หรือ Senna เพราะอาจทำให้ลำไส้ดื้อยา
•ใช้เป็นครั้งคราวเท่านั้น ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกินไป
ถ้าปรับพฤติกรรมแล้วยังถ่ายไม่ออกจริงๆ ค่อยใช้ยาช่วย แต่พยายามเลิกใช้ให้เร็วที่สุดนะ

5.เมื่อไหร่ควรไปหาหมอ?
ถ้าปรับพฤติกรรมแล้วยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ เช่น

  • ท้องผูกเรื้อรัง นานกว่า 3 สัปดาห์
  • ปวดท้องรุนแรง ท้องอืดมาก คลื่นไส้อาเจียน
  • อุจจาระมีเลือดปน หรือมีน้ำหนักลดผิดปกติ
  • เคยใช้ยาระบายมานานแล้วเลิกไม่ได้
    ถ้ามีอาการแบบนี้ ควรรีบตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง เพราะบางทีอาจมีโรคอื่นๆ ซ่อนอยู่ อย่าปล่อยให้เป็นหนัก รีบปรึกษาหมอนะครับ

ลำไส้ขี้เกียจ เป็นปัญหาที่เจอบ่อยแก้ได้ ถ้าปรับพฤติกรรมให้ดีขึ้น เช่น กินไฟเบอร์เยอะๆ ดื่มน้ำให้เพียงพอ เติมโพรไบโอติกส์ ออกกำลังกาย และลดความเครียด ก็ช่วยให้ลำไส้กลับมาทำงานได้ปกติ ถ้าทำทุกอย่างแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ ลองทำตามดูนะ แล้วชีวิตจะสบายขึ้นแน่นอน ถ้าอึดี อะไรก็ดี.