เมื่อวันที่ 7 ก.พ. ที่จังหวัดตรัง สำนักงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้สรุปภาพรวมการลงพื้นที่ให้ความรู้เกี่ยวกับภารกิจงานปราบปรามการทุจริต ภารกิจงานป้องกันการทุจริต ตามโครงการสื่อมวลชนสัมพันธ์ สำนักงาน ป.ป.ช. ระหว่างวันที่ 5-7 ก.พ. โดยนายศรชัย ชูวิเชียร รองเลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า การลงพื้นที่ จ.ตรัง ครั้งนี้ ทำตามมาตรา 32 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นการมาติดตามเรื่องการจัดเก็บรายได้ของอุทยานแห่งชาติ เรามาทำงานเชิงรุก เป็นเรื่องการป้องกัน ไม่ได้มาจับผิดใคร เพราะรายได้จากการเข้าอุทยานฯ เป็นรายได้ของแผ่นดิน ทั้งนี้ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเข้ามาประเทศไทยกว่า 35 ล้านคน ในจำนวนนี้กว่า 18.9 ล้านคน จะมาท่องเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติต่างๆ คิดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยหัวละ 200 บาท คิดเป็นตัวเลขหลายพันล้านบาท แต่ตัวเลขที่กรมอุทยานแห่งชาติรายงานเข้ามาเพียงประมาณ 2,000 ล้านบาท หมายความว่ามีการตกหล่นไปเยอะ ทั้งนี้ถ้ามีเงินเข้าอุทยานมากขึ้น ก็จะมีงบประมาณพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้ดี อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องของรูปแบบกาจัดเก็บรายได้ ยืนยัน ป.ป.ช. สนับสนุนให้มีการใช้ระบบ e-ticket นั้น ส่วนผู้ประกอบการบางส่วนไม่เห็นด้วย ก็เป็นเรื่องที่อาจจะต้องมีการพูดคุยกันต่อไป ตนเห็นว่าเรื่องการทำ e-ticket กรมอุทยานฯ ไม่จำเป็นต้องรอให้มีความพร้อมทั้ง 133 แห่งแล้วค่อยทำ แต่พื้นที่ไหนมีความพร้อมก็เริ่มก่อนได้เลย เช่น อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ก็มีการใช้ e-ticket ไปแล้ว 80-90% ดังนั้นอุทยานแห่งชาติทางทะเล เมื่อมีความพร้อมก็ดำเนินการได้เลย อย่างเกาะกระดาน จากการลงพื้นที่พบว่าสัญญาณโทรศัพท์มือถือสามารถใช้งานได้ดี ก็ทำได้ไม่ต้องรอปี 2568 หรือ 2569

ส่วนข้อเสนอเรื่องการติดตั้งตู้ฝาก ถอนเงินสดอัตโนมัติ (ATM) ก็ถือเป็นอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ได้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องหอบเงินสด ล้านสองล้านบาทนั่งเรือขึ้นฝั่ง เหมือนกับว่าประเทศไทยไม่มีเทคโนโลยี สิ่งสำคัญคือ การที่อุทยานฯ ระบุว่า มีระเบียบกำหนดระยะเวลาการเก็บเงิน ส่งเงินไว้นั้น ส่วนนี้ตนมองว่าสามารถแก้ไขได้ เพื่อปิดจุดบอดในเรื่องการถือเงินสด

นายศรชัย กล่าวอีกว่า ในส่วนของ จ.ตรัง ซึ่งมีโครงการที่ถูกทิ้งร้าง และเสียหาย 2 พันล้านบาท ยังเป็นแค่ส่วนน้อย แต่ถ้าใน 7 จังหวัดของภาค 9 โดยเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะพบว่ามีงบฯ ในลักษณะนี้ลงไปในพื้นที่มาก อาคารถูกทิ้งร้างจำนวนมาก มีงบฯ ลงไปแต่สร้างไม่เสร็จ และส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดใหญ่ ฉะนั้นในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการใหญ่ๆ ของรัฐ ต้องมีวัตถุประสงค์ในแต่ละโครงการชัดเจน กลุ่มเป้าหมายที่จะใช้เป็นอย่างไรบ้าง โอกาสจะเปลี่ยนสภาพในเชิงธุรกิจมีมากหรือไม่ โดยสิ่งที่ ป.ป.ช. ทำได้คือ พยายามป้องปรามให้ใช้งบอย่างคุ้มค่ามากที่สุด ไม่ใช่เอาไปแล้ว มีตกหล่น ซึ่งโครงการลักษณะนี้มีการร้องเข้ามา วันนี้เราพยายามสกัดกั้น เพราะอยากให้คดีทุจริตมันลดลง งบฯ อะไรต่างๆ ที่ลงมาปลายปี มันยากที่จะให้แล้วเสร็จในปีงบประมาณ ไม่ใช่งบอะไรก็ใส่ลงมา จนเป็นที่มาของการทิ้งร้าง ซึ่งใน 7 จังหวัด ภาค 9 อาจจะเสียหายเป็นหมื่นล้านบาท 

ด้านนายสุชาติ กรวยกิตานนท์ ผู้ช่วยเลขาธิการ ป.ป.ช. ภาค 8 กล่าวว่า เรื่องการติดตามการจัดเก็บรายได้ของอุทยานฯ ไม่ได้ทำเฉพาะอุทยานทางทะเลฝั่งอันดามัน แต่รวมถึงทะเลฝั่งอ่าวไทยด้วย และอยากจะขยายผลไปยังพื้นที่ภาค 2 จังหวัดฝั่งตะวันออก ซึ่งเดิมพื้นที่แถบนั้นเราเคยเข้าไปแล้ว แต่ไปเพราะมีการร้องเรียน ซึ่งยังมีจุดหละหลวมอยู่ ดังนั้น เห็นว่า ควรต้องเร่งนำระบบ E-Ticket มาใช้ อย่างน้อยทำให้การเก็บรายได้เป็นไปตามข้อเท็จจริงมากที่สุดหรือเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

นายบัณฑิต คณะสุวรรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดตรัง กล่าวว่า โครงการในลักษณะหอศิลป์ตรัง เป็นการนำงบจังหวัดมาสร้าง และมอบให้ท้องถิ่นดำเนินการต่อ แต่บางทีท้องถิ่นไม่มีศักยภาพ ทำให้สร้างไม่เสร็จ จากจุดเริ่มต้น 39 ล้านบาทตอนเริ่มโครงการ ตอนนี้เป็นร้อยล้าน และกรณีในลักษณะที่ว่าสร้างและให้คนอื่นทำต่อ ไม่ได้ใช้งบฯ ก้อนเดียวจบแบบนี้ ป.ป.ช.จังหวัดกังวลและห่วงมาก และยังมีประเด็นอีกว่าหากสร้างเสร็จแล้วจะคุ้มค่าหรือไม่ บริหารจัดการอย่างไร เอางบมาจากไหน และถ้าดำเนินการไม่ได้ จะนำมาสู่การทิ้งร้าง โดย ป.ป.ช. จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง.