เรียกได้ว่าเป็นกระแสที่กลายเป็นไวรัลอย่างมากอยู่ในขณะนี้ หลังเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ได้พูดถึงเรื่องนี้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “หมอหมู วีระศักดิ์” ซึ่งเปิดผลการศึกษาวิจัยใหม่ล่าสุดว่า “แมลงวันอาจเป็นกุญแจสำคัญ ในการคลี่คลายคดีข่มขืนกระทำชำเรา”

โดยหมอหมู ระบุข้อความว่า “ในคดีที่หญิงเสียชีวิต หลายกรณีพบว่ามีการข่มขืนกระทำชำเราร่วมด้วย ซึ่งในหลายกรณีศพอาจมีการเปลี่ยนแปลงสภาพหลังการเสียชีวิต จนไม่สามารถเก็บตัวอย่างของสเปิร์มได้ ซึ่งการเก็บตัวอย่างของสเปิร์มได้ มีความสำคัญอย่างยิ่งในคดี ทั้งในเรื่องของการระบุว่ามีการร่วมประเวณี และการระบุตัวผู้กระทำความผิดผ่านการตรวจ DNA”
นอกจากนี้ “โดยการศึกษาล่าสุดจากมหาวิทยาลัยพอร์ทสมัธ (University of Portsmouth) เปิดเผยว่า หนอนแมลงวัน (maggots) อาจมีบทบาทสำคัญในการสืบสวนคดีข่มขืน เนื่องจากไข่และตัวอ่อนของแมลงวันสามารถเก็บรักษาหลักฐานสำคัญ เช่น สเปิร์ม (sperm) ซึ่งช่วยในการระบุตัวผู้กระทำความผิด”
อีกทั้ง รายละเอียดการศึกษา มีดังต่อไปนี้
1. การจำลองสถานการณ์ คือ นักวิจัยใช้ผิวหนังของหมูและทาสเปิร์มของหมูเพื่อจำลองหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ
2. การเก็บตัวอย่าง คือ หลังจากที่แมลงวันมาวางไข่และตัวอ่อนบนผิวหนัง นักวิจัยได้เก็บไข่และตัวอ่อนเหล่านั้นมาวิเคราะห์
3. การวิเคราะห์ คือ ใช้เทคนิคพิเศษในการแยกสเปิร์มออกจากเซลล์ผิวหนังของหมู และตรวจสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์
อีกทั้ง ผลการศึกษาพบว่า ในตัวอย่างมากกว่า 50% มีการตรวจพบสเปิร์ม และแสดงให้เห็นว่าไข่และตัวอ่อนของแมลงวันสามารถเก็บรักษาหลักฐานสำคัญที่สามารถเชื่อมโยงผู้กระทำความผิดกับที่เกิดเหตุได้
นอกจากนี้ ความสำคัญในการค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่า “นิติกีฏวิทยา” (Forensic Entomology) ไม่เพียงแต่ใช้ในการประมาณเวลาหลังการเสียชีวิต (Post-Mortem Interval) เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ในการเก็บรวบรวมหลักฐานทางชีวภาพที่สำคัญในคดีอาชญากรรม เช่น คดีข่มขืน ในความเห็นส่วนตัว การศึกษานี้เปิดโอกาสใหม่ในการใช้ประโยชน์จากแมลงในการสืบสวนคดีอาชญากรรม และอาจเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขคดีที่ซับซ้อนซึ่งขาดหลักฐานแบบดั้งเดิม
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทั้งหมดที่หมอหมูนำเสนอ มีการอ้างอิงแหล่งที่มาชัดเจน และได้พยายามอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ แต่บางครั้งอาจมีการโต้แย้งในข้อมูล ซึ่งเป็นเรื่องปกติในแวดวงวิชาการ ดังนั้น จึงขอเรียนทุกท่านว่าโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านบทความของหมอหมู และควรหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อความถูกต้องอีกครั้ง
ขอบคุณข้อมูล : หมอหมู วีระศักดิ์