วันที่ 6 ก.พ. เวลา 10.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงปักกิ่ง ซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง) ที่มหาศาลาประชาชน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าเยี่ยมคารวะสี จิ้นผิง (H.E. Xi Jinping) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 5-8 ก.พ.  ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง กล่าวถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 

ในการนี้ ผู้นำทั้งสองประเทศได้พูดถึงวิสัยทัศน์การแบ่งปันความเจริญรุ่งเรือง  จีนสนับสนุนบทบาทไทยในทุกกรอบความร่วมมือทั้งทวิภาคี  พหุภาคีและภูมิภาค  ซึ่งยังเห็นควรขยายความร่วมมือในด้านต่างๆ ทั้งการพัฒนารถไฟความเร็วสูง เศรษฐกิจดิจิทัล เขตเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) และการใช้ประโยชน์ความร่วมมือเศรษฐกิจ ไทย ลาว จีน  อีกทั้งจีนยังส่งเสริมภาคเอกชนไทยในทุกมิติ  จีนจะจัดงาน China International Import Expo (นิทรรศการสินค้านำเข้า) ซึ่งถือเป็นงานสำคัญของการค้าขายระหว่างกัน จีน สนับสนุนสินค้าและบริการที่ดีของไทยมาที่จีน ส่วนความร่วมมือในด้านยุทโธปกรณ์ ไทยและจีนมีจุดเริ่มต้นจากโครงการเรือดำน้ำ

น.ส.แพทองธาร พูดคุยถึงความร่วมมือด้านความเชื่อมโยงระหว่างไทย-จีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร–หนองคาย ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา–หนองคาย  รวมทั้งจะให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ยกระดับความร่วมมือด้านการรถไฟระหว่างไทยและจีน ให้เพิ่มเติมมากกว่าระบบรางอีกด้วย  นอกจากนี้ไทยยังมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ โครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์และแลนด์บริดจ์ ซึ่งจะเป็นโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ พร้อมเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันจัดทำมาตรฐานร่วมกันในการจัดการ ณ ด่านศุลกากร เพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตร  

ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง กล่าวว่า “จีนสนับสนุนอย่างเข้มแข็งในการปราบปรามขบวนการหลอกลวง (online scam) การลักพาตัว การค้ามนุษย์  อาชญากรรมข้ามชาติ ถือเป็นความท้าทาย มีความเสี่ยงสูง ชื่นชมรัฐบาลไทยที่พยายามอย่างเต็มที่และเป็นรูปธรรมโดยเฉพาะการตัดน้ำ ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ตและน้ำมัน  ที่จะสามารถตัดวงจรกิจกรรมที่เป็นอาชญากรรมต่างๆ  ได้ และเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปราม จะดูแลความปลอดภัยและผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศด้วยการยกระดับการบังคับใช้กฎหมายทั้งในระดับทวิภาคีและอนุภูมิภาค”

ต่อมา น.ส.แพทองธารพบหารือกับ จ้าว เล่อจี้ (H.E. Mr. Zhao Leji) ประธานสภาประชาชนแห่งชาติสาธารณรัฐประชาชนจีน  ในโอกาสนี้  นายกฯ อิ๊งค์ย้ำว่า ไทยพร้อมส่งเสริมความร่วมมืออย่างแนบแน่นในทุกระดับ เพื่อสร้างอนาคตของความร่วมมือไทย-จีนให้มั่นคงยิ่งขึ้น  ยืนยันว่ารัฐบาลไทยยึดมั่นในหลักการจีนเดียว และพร้อมสนับสนุนการแลกเปลี่ยนระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติไทย-จีน  

ที่รัฐสภา นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงษ์  สว.ในฐานะเลขานุการวิปวุฒิสภา เปิดเผยหลังการประชุมวิป 3 ฝ่าย (รัฐบาล ฝ่ายค้าน วุฒิสภา) ว่า  นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ได้ บรรจุระเบียบวาระการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ในวันที่ 13 และ 14 ก.พ.นี้ เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม การแก้ไขมาตรา 256 เพื่อเปิดทางยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ซึ่งมี 2 ร่าง คือร่างของพรรคเพื่อไทย กับร่างของพรรคประชาชน (ปชน.) วิป 3 ฝ่าย แบ่งเวลาอภิปรายฝ่ายละ 6 ชั่วโมง คือ พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล 6 ชั่วโมง  พรรคการเมืองฝ่ายค้าน 6 ชั่วโมง และสมาชิกวุฒิสภา 6 ชั่วโมง  ซึ่งกรอบการประชุมตลอดทั้ง 2 วัน จะเริ่มในเวลา 09.30–22.00 น.  

“คาดว่าการอภิปรายจะเสร็จลงในวันที่ 14 ก.พ. เวลา 15.00 น. จากนั้นจะโหวตให้ความเห็นชอบในวาระรับหลักการ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้จะเป็นการโหวตแบบขานชื่อทีละคนจากจำนวนสมาชิกของรัฐสภาเท่าที่มีอยู่ในขณะนี้ จำนวน 692 คน ซึ่งจำนวน สส.มี 493 คน และ สว.199 คน” นายพิสิษฐ์ กล่าว

นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย  กล่าวว่า  ได้เสนอผ่านไปทางวิปรัฐบาลให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 ว่าสามารถทำประชามติได้กี่ครั้ง  ส่วนการยกร่างรัฐธรรมนูญ จะยึดร่างของพรรคเพื่อไทยที่ไม่แก้ในหมวด 1 และ 2 แต่ในส่วนของพรรค ปชน.นั้นเสนอให้มีการแก้ไขทั้งฉบับ เรื่องนี้ยังไม่มีการพูดคุยกัน ขอให้ผ่านขั้นตอนแรกไปก่อน

ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร  มีการพิจารณากระทู้ถามสดของ นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากูล สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. ถาม รมว.พาณิชย์  เรื่อง มาตรการรับมือสงครามการค้าโลกของรัฐบาล ภายหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐ  ทำให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงจะถูกขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า เพราะอยู่ในอันดับ 12  ของประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐมากว่า 10 ปี 

“เกรงว่า สินค้าจีนที่ถูกกีดกันจะล้นตลาดโลก ส่งมาขายในประเทศไทย กระทบกับธุรกิจเอสเอ็มอีเพิ่มเติม จึงต้องเตรียมตัวรับมือสินค้าไม่ได้คุณภาพจากจีนเข้ามาตีตลาดไทยด้วย เช่น เหล็ก วัสดุก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าเกษตร สินค้าแปรรูป  การจะไปเจรจากับสหรัฐนั้น จะเอาอะไรไปต่อรองแลกเปลี่ยน”

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ ได้รับมอบหมายจาก รมว.พาณิชย์ มาตอบกระทู้สด ได้ชี้แจงว่า รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องนี้ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เดินทางไปเยือนประเทศสหรัฐ พูดคุยกับนักธุรกิจ ผู้บริหารสหรัฐ เพื่อต่อรองนโยบายการขึ้นภาษีให้ได้มากที่สุด อีกทั้ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สั่งการตั้งคณะทำงานนโยบายการค้ากับสหรัฐโดยตรง มีปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน รวบรวมข้อมูลปัญหาต่างๆ หาแนวทางรับมือมาตรการกำแพงภาษีสหรัฐที่จะมีผลกระทบต่อประเทศไทย

“แนวทางของประเทศไทยขณะนี้คือ การรักษาตลาดเดิมกับสหรัฐ  และเตรียมพร้อมหาตลาดใหม่ๆ เพิ่มเติม เช่น จีนทางตอนใต้และตะวันตก อินเดีย ยูเออี ในกรณีถูกตั้งกำแพงภาษี มีการติดตามปัญหาอย่างใกล้ชิด เชื่อว่า นโยบายทรัมป์จะกระทบไทยไม่มากนัก  และนายกรัฐมนตรีได้ตั้ง คณะกรรมการควบคุมสินค้าด้อยคุณภาพจากต่างประเทศ มี รมว.พาณิชย์เป็นประธาน วางมาตรการตรวจสอบสินค้านำเข้าจากต่างประเทศจาก 20%  เป็น 30-40% สินค้าที่นำเข้าต้องติดฉลากภาษาไทย ส่วนรายละเอียดการไปเจรจากับสหรัฐนั้น เป็นเรื่องของคณะทำงานนโยบายการค้ากับสหรัฐ จะไปดำเนินการ”

ปิดท้ายด้วยเรื่อง เขากระโดง ที่เถียงกันไปมาระหว่างกรมที่ดินกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ว่าแผนที่ของใครถูกต้อง  นายมงคล ศรีสว่าง ผู้อำนวยการสำนักไต่สวนคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ป.ป.ช. กล่าวว่า  ขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนอธิบดีกรมที่ดิน และผู้ว่า รฟท.  ทั้งสองฝ่ายก็มีเหตุผลของตัวเองอยู่เหมือนกัน ในเรื่องของการไม่ยอมเพิกถอนที่ดิน แต่ ป.ป.ช.มองว่า อาจมีข้อบกพร่องอยู่ในการทำหน้าที่ที่ไม่เสร็จสมบูรณ์  ที่ต้องมาดูว่า การกระทำดังกล่าวนั้นเจตนาหรือไม่ เพื่อจะวินิจฉัยในการกระทำความผิดทางอาญา 

“ทีมข่าวการเมือง”