เมื่อเวลา 10.40 น. วันที่ 6 ก.พ. 68 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม ทั้งนี้มีการพิจารณากระทู้ถามสดของนายสิทธิพล วิบูลย์ธนากูล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ถาม รมว.พาณิชย์ เรื่อง มาตรการรับมือสงครามการค้าโลกของรัฐบาล ภายหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐ ทำให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงจะถูกขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า เพราะอยู่ในอันดับ 12 ของประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐ มากว่า 10 ปี สินค้าไทยที่เสี่ยงถูกขึ้นภาษีคือ สินค้าเกษตร แม้รัฐบาลจะประกาศหาตลาดใหม่เพิ่มเติม เพื่อลดผลกระทบจากนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐ แต่การหาตลาดใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีคู่แข่งจากจีนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากนโยบายสหรัฐ สินค้าจีนที่ถูกกีดกัน จะล้นตลาดโลก ส่งมาขายในประเทศไทย กระทบกับธุรกิจเอสเอ็มอีเพิ่มเติม จึงต้องเตรียมตัวรับมือสินค้าไม่ได้คุณภาพจากจีนเข้ามาตีตลาดไทยด้วย เช่น เหล็ก วัสดุก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าเกษตร สินค้าแปรรูป จะต้องมีมาตรการรับมือสินค้าไม่ได้คุณภาพเหล่านี้ ไม่อยากให้รัฐบาลประเมินผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีสินค้าของสหรัฐต่ำเกินไป การจะไปเจรจากับสหรัฐนั้น จะเอาอะไรไปต่อรองแลกเปลี่ยน

ด้านนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ ได้รับมอบหมายจาก รมว.พาณิชย์ มาตอบกระทู้สด ได้ชี้แจงว่า ประเทศไทยได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐมานาน 10 ปี เกินดุลสหรัฐอยู่ประมาณ ร้อยละ 3.8 รวมถึงประเทศในอาเซียนอื่นๆ เช่น เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ก็ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐเช่นกัน ดังนั้นอาเซียนจึงอยู่ในกลุ่มเสี่ยงถูกตั้งกำแพงภาษีจากสหรัฐ รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องนี้ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เดินทางไปเยือนประเทศสหรัฐ พูดคุยกับนักธุรกิจ ผู้บริหารสหรัฐ เพื่อต่อรองนโยบายการขึ้นภาษีให้ได้มากที่สุด อีกทั้ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สั่งการตั้งคณะทำงานนโยบายการค้ากับสหรัฐโดยตรง มีปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน รวบรวมข้อมูลปัญหาต่างๆ หาแนวทางรับมือมาตรการกำแพงภาษีสหรัฐที่จะมีผลกระทบต่อประเทศไทย
รมช.พาณิชย์ กล่าวต่อว่า แนวทางของประเทศไทยขณะนี้คือ การรักษาตลาดเดิมกับสหรัฐ และเตรียมพร้อมหาตลาดใหม่ๆ เพิ่มเติม เช่น จีนทางตอนใต้และตะวันตก อินเดีย ยูเออี ในกรณีถูกตั้งกำแพงภาษี มีการติดตามปัญหาอย่างใกล้ชิด เชื่อว่า นโยบาย “ทรัมป์” จะกระทบไทยไม่มากนัก หรือไม่กระทบเลย ถ้าเจรจากันได้ หรือสามารถหาตลาดใหม่เพิ่มได้ ส่วนการควบคุมสินค้าจากจีน นายกรัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการควบคุมสินค้าด้อยคุณภาพจากต่างประเทศ มี รมว.พาณิชย์เป็นประธาน วางมาตรการตรวจสอบสินค้านำเข้าจากต่างประเทศจาก ร้อยละ 20 เป็น 30-40 สินค้าที่นำเข้าต้องติดฉลากภาษาไทย ส่วนรายละเอียดการไปเจรจากับสหรัฐนั้น เป็นเรื่องของคณะทำงานนโยบายการค้ากับสหรัฐจะไปดำเนินการ.