เมื่อวันที่ 4 ก.พ. นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อาวุโสในสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทยเรียกร้องให้สภาผู้แทนราษฎรผ่านร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งจะมีการเข้าสู่การพิจารณาของสภาในวันที่ 5 ก.พ.นั้น สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 28 ก.พ.67 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเป็นเอกฉันท์ลงมติรับ “ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์” ทั้ง 5 ร่างเข้าสู่การพิจารณาในวาระต่อไป โดยตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญซึ่งมาจากทุกภาคส่วนพิจารณาเพื่อปรับจาก 5 ร่างที่มีความแตกต่างกันบ้างให้เป็นร่างเดียว โดยใช้ร่างของรัฐบาลเป็นร่างหลักในการพิจารณา ส่วนอีก 4 ร่างมาจากพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน กลุ่มชนเผ่าพื้นเมือง และกลุ่มขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม(P MOVE)

สำหรับ เหตุผลของการออกพระราชบัญญัติฉบับนี้มาจาก มาตรา 70 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้รัฐพึงส่งเสริม และให้ความคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ให้มีสิทธิดำรงชีวิตในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิมตามความสมัครใจได้อย่างสงบสุข ไม่ถูกรบกวน ทั้งนี้ เท่าที่ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ หรือสุขภาพอนามัย

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า จากข้อมูลของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) พบว่าประเทศไทย มีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 60 กลุ่ม จำนวนราว 10 ล้านคน คิดเป็น 1 ใน 6  ของจำนวนประชากรไทยทั้งประเทศ คณะกรรมาธิการวิสามัญใช้เวลาร่วม 7 เดือนในการปรับร่างพระราชบัญญัติจนเสร็จสิ้น โดยมีเนื้อหาสำคัญ คือ หลักพื้นฐานแห่งสิทธิและการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งมีบทบัญญัติรับรองให้กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญอย่างครบถ้วน อาทิ สิทธิที่จะได้รับ การคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยต้องไม่เหยียดหยาม สร้างความเกลียดชัง หรือเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อกลุ่มชาติพันธุ์ สิทธิทางวัฒนธรรม, สิทธิในการจัดการศึกษาด้วยภาษาของตนเอง, สิทธิในที่ดินและการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, และสิทธิในการเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและสวัสดิการสังคมที่มีคุณภาพ

กลไกการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ กำหนดให้มีกลไกระดับนโยบายหรือระดับชาติ ที่กำหนดให้มีคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ที่มีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกฯที่ได้รับมอบหมายเป็นประธานทจัดตั้งสภากลุ่มชาติพันธุ์แห่งประเทศไทย เพื่อให้เป็นกลไกการมีส่วนร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์ ตลอดจนเป็นศูนย์ประสานงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างความเข้าใจอันดี และเสนอนโยบาย มาตรการคุ้มครอง และส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ต่อคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ และจัดตั้งเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ที่บัญญัติให้คณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์มีอำนาจประกาศกำหนดพื้นที่คุ้มครองฯ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองวิถีชีวิตและวัฒนธรรม การรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล เป็นธรรม และยั่งยืน และการส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชน ตามภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์

อย่างไรก็ดีวันที่ 25 ก.ย.67 ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ น.ส.ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัตน์ สส.เชียงราย เพื่อไทย ได้นำผลการพิจารณาเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่สอง โดยกล่าวว่า กลุ่มชาติพันธุ์จะได้รับการคุ้มครองการเข้าถึงสิทธิ์และส่งเสริมวิถีชีวิตอย่างเสมอภาค  เราจะเห็นถึงความสำคัญและความหลากหลายทางวัฒนธรรม สังคมไทยจะโอบรับทุกวัฒนธรรมอย่างมีศักดิ์ศรีเสมอกัน แต่มีสส.บางคนตั้งคำถามและคัดค้าน จนต้องถอนออกมาเพื่อปรับปรุง เมื่อนำเข้าสู่การพิจารณาในสภาอีกครั้งในวันที่ 8 ม.ค.68 มีการพิจารณาผ่านไป 26 มาตรา เมื่อถึงมาตรา 27 เรื่องพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ก็ยังมีสส.บางคนคัดค้านอีก คณะกรรมาธิการวิสามัญต้องนำมาปรับปรุงอีกครั้ง ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ม.ค.68 ตัวแทนพรรคเพื่อไทย 4 คน  ลุกขึ้นอภิปรายในเชิงไม่เห็นด้วย และขอให้เลื่อนพิจารณากฎหมายนื้  โดยข้ออ้างที่ยกขึ้นมาคือโดยกังวลว่ากฎหมายชาติพันธุ์จะไปละเมิดกฎหมายอื่น ๆ ทั้งกฎหมายอุทยานแห่งชาติฯ และกฎหมายเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ฯลฯ

ทั้งที่พรบ.ฉบับนี้ให้กลุ่มชาติพันธุ์มีภาระหน้าที่ในการช่วยดูแลอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ รักษาให้เกิดความยั่งยืน และก่อนการประกาศพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ต้องตกลงร่วมกันระหว่างชุมชนกับหน่วยงานรัฐในพื้นที่ และผ่านคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ตามกฎหมายนี้อยู่แล้ว จึงเป็นการทำงานร่วมกัน และจะลดความขัดแย้งที่มีอยู่เดิมของรัฐและชาวบ้านด้วยซ้ำ

“ในวันที่ 5 ก.พ.68 ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จะเข้าสภาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากเข้าสู่การพิจารณามาแล้วหลายครั้ง พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลต้องทำความเข้าใจภายในพรรคและรัฐบาลให้ตรงกัน ในการผลักดันให้กฎหมายฉบับนี้ผ่านสภาผู้แทนราษฎร เพื่อไปสู่การพิจารณาของวุฒิสภาต่อไป เพราะนี้เป็นกฎหมายที่ออกตามรัฐธรรมนูญ และเป็นนโยบายของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยตลอดมาที่ระบุว่าสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้” นายสุรพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย