เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (ดร.แดน) ประธานสถาบันการสร้างชาติ และนักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเสนอแนวคิดจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ “ไทย-จีน” ในประเทศไทยเฉลิมฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ไทย-จีน พร้อมผลักดันความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การศึกษา และเทคโนโลยี มุ่งให้ไทยเป็นดุมล้ออาเซียน และลดแรงปะทะจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน
โดย ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ กล่าวถึงความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐ ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะการก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่า จะทำให้จีนจะต้องเผชิญแรงกดดันระลอกใหม่จากสหรัฐ ที่พยายามจำกัดการเติบโตของจีน ผ่านมาตรการกีดกันทางเศรษฐกิจและภาษี ตลอดจนการดึงการลงทุนโดยตรงกลับประเทศสหรัฐ
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เสนอว่า ภายใต้สภาพแวดล้อมดังกล่าว ไทยควรกำหนดยุทธศาสตร์ให้เป็นประเทศไทยเป็น ดุมล้อของอาเซียน เพื่อขับเคลื่อนให้อาเซียนเป็นตัวเชื่อมระหว่างขั้วมหาอำนาจต่าง ๆ และผลักดันวาระที่ทำให้ประเทศไทยและอาเซียนได้รับประโยชน์ ขณะเดียวกัน ไทยควรร่วมมือเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์กับจีน ภายใต้แนวคิด ‘1 เข็มขัด 1 หัวเข็มขัด’ หรือ ‘One Belt, One Buckle’ โดยให้ไทยเป็นหัวเข็มขัดที่เชื่อมโยงเส้นทางการค้าของจีนกับอาเซียนและโลก
“ไทยมีที่ตั้งทางยุทธศาสตร์เป็นศูนย์กลางของอาเซียน หากจีนต้องการขยายการเชื่อมโยงในภูมิภาค ไทยคือประเทศที่เหมาะสมที่สุด การตั้งฐานการผลิตในไทยจะช่วยให้จีนสามารถลดผลกระทบจากกำแพงภาษีของสหรัฐ ได้ระดับหนึ่ง ขณะเดียวกัน ไทยก็จะได้รับประโยชน์จากการลงทุน เทคโนโลยี และการจ้างงาน นอกจากนี้ ไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งจีนและสหรัฐ สามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างสองมหาอำนาจได้” ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ดังกล่าว ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เสนอให้จัดตั้งเมืองเศรษฐกิจพิเศษไทย-จีน เพื่อดึงการลงทุนจากจีนย้ายฐานมาประเทศไทย และรวมเอามหาวิทยาลัยชั้นนำของจีนเข้ามาตั้งในไทย เพื่อเป็นศูนย์กลางการศึกษา เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ โดยมีรัฐบาลไทยกำกับดูแลให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทั้งสองประเทศ โดยไม่กระทบอธิปไตยของไทย
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เสนอเพิ่มว่า ไทยและจีนควรมีมาตรการสนับสนุนการจัดตั้งเมืองเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าว อาทิ การจัดตั้งกองทุน One Belt, One Buckle เพื่อการลงทุนข้ามพรมแดน, การจัดตั้ง สมาคมไทย-จีน เพื่อสร้างความร่วมมือด้านยุทธศาสตร์ และการจัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ไทย-จีน เพื่อพัฒนาความร่วมมือเชิงลึกทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และเทคโนโลยี
“จุดเน้นในการดึงดูดการลงทุนและความร่วมมือจากจีน ไทยควรให้น้ำหนักกับกิจกรรมที่เป็นจุดแกร่งของประเทศ ได้แก่ สุขสภาพ (Wellness) การท่องเที่ยว (Tourism) อาหาร (Food) และการดูแลผู้สูงวัย (Elderly) ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพสูง ขณะที่จีนก็ให้ความสำคัญกับ 4 อุตสาหกรรมนี้ นอกจากนี้ จีนและไทยยังมีองค์ความรู้และเทคโนโลยี ที่จะช่วยสนับสนุนกันและกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยและจีนในเวทีโลกได้”
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ ระบุเพิ่มเติมว่า การสนับสนุนการพัฒนาเมืองเศรษฐกิจพิเศษ ไทย-จีน ประเทศไทยควรมีบทบาทในการขยายความเชื่อมโยงระหว่างไทยกับจีน และไทยกับโลก โดยเฉพาะการยกระดับความร่วมมือด้านการค้าและเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน การขยายข้อตกลงการค้าเสรีไทย-จีน และทำ FTA กับประเทศทั่วโลก ตลอดจนการผลักดัน ‘อาเซียนวีซ่า’ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการลงทุนในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน
“การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ไทย-จีน เป็นความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ที่จะช่วยให้ไทยมีโอกาสเป็นดุมล้อของอาเซียน และจะช่วยให้เศรษฐกิจภูมิภาคแข็งแกร่ง รวมทั้งยังช่วยลดความตึงเครียดจากการแข่งขันระหว่างสหรัฐ และจีน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทั้งโลก” ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ กล่าว