เรียกได้ว่าเป็นกระแสที่กลายเป็นไวรัลอย่างมากอยู่ในขณะนี้ หลังเมื่อวันที่ 3 ก.พ. 68 มีผู้ใช้เพจเฟซบุ๊ก “ทนายแก้ว” ได้ออกมาโพสต์ชี้แจงปมค่าจ้างว่าความ พร้อมทั้งระบายความในใจ ก่อนที่จะประกาศเดินหน้าขอใช้สิทธิตามกฎหมาย ลั่น ผมเป็น “ทนายอาชีพ-ไม่ใช่อาชีพทนาย”

โดยทนายแก้ว อธิบายข้อความว่า “จากที่เป็นข่าว จริงๆ ผมก็ไม่อยากจะออกมาพูดอะไรมากมายครับ แต่เหมือนจะไม่หยุด ผมเลยขอพูดสักหน่อยว่า”
1. รายการโหนกระแสและพี่หนุ่ม ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย ดังนั้น อย่าไปพาดพิงรายการโหนกระแสครับ ต้องขอโทษรายการและพี่หนุ่มกรรชัยด้วย

2. การที่ผมไปรับทำงานก็เป็นเรื่องส่วนตัว เพราะมีนายหน้าคนหนึ่งติดต่อเข้ามา ผมไม่เคยรู้จักกับลูกความมาก่อนเลย ซึ่งนายหน้าคนนี้ก็รู้และเคยเห็นการทำงานผมมาก่อน และต่อมาก็ได้มีการพูดคุยกันถึงเรื่องคดีเช็ค และผมก็ได้ตระเตรียมเรื่องนี้กันก่อนหน้า ที่จะมีการชำระเงินอีก เมื่อได้เจอกับลูกความ สามีของลูกความ นายหน้า จึงได้พูดคุยกัน และมีการแจ้งให้ผมดำเนินการ 2 คดี คดีแรก ก็คือคดีเช็คที่มีประเด็น คดีที่ 2 เป็นคดีที่ดินที่ สภ.ธัญบุรี ที่อ้างว่าถูกหลอก ซึ่งได้มีการไปแจ้งความก่อนแล้ว หลังจากกลับมาบ้าน ผมก็มีการเสนอค่าบริการทั้ง 2 คดี เป็นเงินจำนวน 300,000 บาท เพราะเป็นงานเหมา โดยส่งไลน์ไปให้นายหน้า

“โดยนายหน้าก็ไม่ได้มีการโต้แย้งรายละเอียดเกี่ยวกับงานอย่างไรเลย ว่าจะเป็นคดีเดียว และก็ได้ส่งมอบเอกสารให้กับผมเพื่อดำเนินงานในวันดังกล่าว แล้วต่อมาผมก็ส่งข้อความไปอีกว่านั้นเอาแบบนี้ เหลือ 200,000 บาท แต่สุดท้ายลูกความก็มีการโอนเงินมาให้ 150,000 บาท ผมจึงได้มีการมอบหมายทนายในทีม แบ่งกันดำเนินงานเป็นทีมๆ โดยตัวผมเองได้มีการประสานงานไปยังพนักงานสอบสวนที่ สน.ทองหล่อ เพื่อขอเลื่อนการเข้าพบรับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งเมื่อ พสส. รู้ว่าผมติดต่อมา พสส. ได้ให้เกียรติผมมากๆ และให้ความเคารพ ประกอบกับด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนของพนักงานสอบสวนด้วยครับ พนักงานสอบสวนท่านนั้นจึงบอกให้ทำหนังสือเพียงแสดงเหตุจำเป็นเท่านั้น”

“ซึ่ง พสส. บอกว่าสามารถเลื่อนได้ครับ แต่เหตุจะเลื่อนก็เป็นเรื่องที่ลูกความที่จะต้องแจ้งกับ พสส. ผมก็ได้มีการร่างหนังสือไป จุดมุ่งหมายก็เพื่อขอเลื่อนเท่านั้น แต่เมื่อส่งไปให้ลูกความ ลูกความกลับอยากจะให้ผมเขียนหนังสือ ในทำนองที่จะบอกว่า คดีมีความซับซ้อน มีรายละเอียดของพยานหลักฐานมาก อะไรทำนองนี้และให้ผมลงนาม แล้วผมก็แจ้งกลับไปว่า ทำไมจะต้องทำเรื่องให้ซับซ้อน ก็มันเป็นเหตุจำเป็นที่สามารถเลื่อนพบพนักงานสอบสวนได้อยู่แล้ว เพื่อมาตั้งฐานเตรียมคดี”

“เมื่อผมแจ้งไปแบบนั้น นายหน้าได้โทรศัพท์มาคุยกับผมว่า จะขอเงินคืน โดยส่งข้อความมาทำนองว่า ขอร้องขอความเมตตาให้โอนเพิ่มเติม ผมก็แจ้งกลับว่าแล้วผมผิดอะไรงานก็ได้ดำเนินการไปแล้ว แต่ด้วยความประนีประนอมเห็นอกเห็นใจ และสงสารนายหน้าจึงได้มีการโอนเงินคืนไปจำนวน 90,000 บาท และนายหน้าโอนคืนในส่วนของนายหน้าไปอีก 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 100,000 บาท ทุกอย่างก็ยุติจบกัน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 ผมก็ส่งมอบเอกสารคืน หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรอีกเลย”

ต่อมา “เรื่องนี้ได้มีการออกโหนกระแส ผมก็ไม่ได้เข้าไปเป็นทนายความคนกลางอะไรของแต่ละฝ่ายเลยครับ และขอเน้นว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา หากลูกความหรือนายหน้า จะขอเงินเพิ่ม ก็ติดต่อมาได้ แต่ไม่เคยทวงถาม มาขออะไรเลย ตลอดระยะเวลาไม่เคยติดต่อมาทวงอะไรผมเลย แต่อยู่ดีๆ ปลายเดือนมกราคม 2568 ซึ่งผ่านระยะเวลามาร่วม 6 เดือนเศษ แล้วมากล่าวหาผมว่า ไม่คืนเงินบ้าง ไม่ได้ทำงานบ้าง แบบนี้มันถูกเหรอครับ แล้วยังมาโพสต์ข้อความหลายครั้ง ทำให้ผมเสียหายแก่ชื่อเสียง เอาดีเข้าตัว มันเกินไปครับ ไม่เหมาะสมอย่างมาก”

3. และนอกจากนี้ผมยังได้โทรศัพท์ ประสานงานไปหาทนายอาจารย์เดชา เพื่อขอไม่ให้ลูกความของอาจารย์เดชาไปออกรายการต่างๆ อาจารย์เดชาก็ตอบตกลง ส่วนกรณีที่พูดว่าผมเป็นพวกเดียวกับอาจารย์เดชา นั้นไม่จริงเลยครับ การอยู่ในวงการทนาย มันก็เป็นธรรมดาที่ต้องรู้จักกันเท่านั้น ต่างฝ่ายก็ต่างทำหน้าที่ของลูกความ ก็เท่านั้นครับ

4. หลังจากที่ผมยุติงาน ผมก็ส่งข้อความไปแจ้งกับพนักงานสอบสวน ว่าผมไม่ได้ทำแล้ว โดยให้เหตุผลว่าความเห็นไม่ตรงกันเท่านั้น และพนักงานสอบสวนท่านนี้ก็น่ารักและให้ความเคารพให้เกียรติผม ยังส่งข้อความกลับมา อยากให้ผมเป็นทนายต่อเพื่อหาทางออกร่วมกัน

5. ยังมีการโพสต์ว่าผมเรียกเงิน เพื่อออกรายการ 2-3 แสนบาท นั้นยิ่งไม่เป็นความจริงใหญ่ เพราะผมไม่เคยที่จะคุยกับโปรดิวเซอร์ หรือพี่หนุ่มกรรชัยในเรื่องนี้ เพื่อขอให้มาออกรายการเลยครับ ถามทุกคนได้ครับ ผมอยู่ในวิชาชีพนักกฎหมายมาร่วม 30 ปี ไม่เคยมีเรื่องไม่ดีเลย ใช้ชีวิตตามฐานานุรูป ไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ไม่เคยใช้ชีวิตซับซ้อนเลย ถือคติว่า “คนเก่งไม่เรื่องมาก-คนดีไม่มากเรื่อง” มาโดยตลอด ผมไม่ใช่คนที่จะไปเอาเปรียบใคร

“อยากจะบอกทนายท่านหนึ่งที่มาโพสต์แซะผม ก่อนจะแสดงความคิดเห็นอะไรออกมา ควรได้ข้อเท็จจริงครบทุกด้านก่อน ไม่ใช่โพสต์ไปเรื่อย ให้เกียรติคนอื่นบ้าง พอคนอื่นไม่ชอบที่เราโพสต์ ก็ไม่พอใจเขา ลองเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง ผมก็ไม่ได้มีสิทธิและเจียมตัวครับที่จะไปอบรมสั่งสอนใคร และพื้นฐานผมเป็นคนให้เกียรติคนอื่น โดยเฉพาะอาชีพทนายความครับ เพราะผมรักและเคารพอาชีพนี้มากที่สำคัญ เพราะผมเป็น “ทนายอาชีพ-ไม่ใช่อาชีพทนาย” ครับ”

อย่างไรก็ตาม “สุดท้ายแต่เพียงอยากจะพูดลอยๆ ดีชั่วอยู่ที่ตัวเราทำ อยากให้ใครทำดี พูดดีกับเรา เราก็ต้องทำดีและพูดดีกับเขาเช่นกัน และคนจะดีจะเก่งมันต้องให้คนอื่นเป็นคนบอกครับ ดังนั้น จึงขอใช้สิทธิตามกฎหมายครับ” ทนายแก้ว กล่าว

ขอบคุณข้อมูล : ทนายแก้ว