ปัจจุบัน “อาชญากรรมไซเบอร์”พัฒนาก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก มีการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงที่แนบเนียมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปลอมหน้า เลียนแบบเสียง จาก deepfake จนทำให้คนตกเป็นเหยื่อง่ายขึ้น
จึง เกิดคำถามว่าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอย่างเรา จะรับมือกับสิ่งเหล่านี้อย่างไรเพื่อเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล เรื่องนี้ ไม่อยากหากเรา เรียนรู้และเข้าใจถึงเทคโนโลยี ทาง “แคสเปอร์สกี้” ได้ออก 7 ข้อแนะนำ ที่ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ตลอดปี 68 เริ่มกันที่
1. เรียนรู้การใช้ AI อย่างปลอดภัย
ปัจจุบัน AI ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ AI assistant เป็นฟีเจอร์ของสมาร์ทโฟน ผู้ใช้จึงควรทำความเข้าใจกฎเกณฑ์สำหรับการใช้งานแชทบ็อตอย่างปลอดภัย โดยสรุปได้ดังนี้
ตรวจสอบคำแนะนำของ AI อีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อเป็นข้อมูลเกี่ยวกับยา การลงทุน หรือคำถามอื่นๆ ที่อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ แชทบ็อตนั้นเป็นที่รู้กันว่าสามารถให้ข้อมูลที่เป็นเท็จได้ และอย่าให้ข้อมูลส่วนบุคคลกับ AI เด็ดขาด ภาพถ่ายเอกสาร รายละเอียดหนังสือเดินทาง ข้อมูลทางการเงินและทางการแพทย์ เพราะอาจทำให้เกิดข้อมูลรั่วไหลควรหลีกเลี่ยงการอัปโหลดข้อมูลดังกล่าวตั้งแต่ต้น

2. ใช้พาสคีย์แทนพาสเวิร์ด
พาสคีย์ (passkey) คือวิธีลงชื่อเข้าบัญชีผู้ใช้บนเว็บไซต์หรือแอปโดยผู้ใช้ไม่ต้องจำพาสเวิร์ดหรือรหัสผ่าน (password) บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำกำลังทยอยยกเลิกพาสเวิร์ดและใช้พาสคีย์ที่เชื่อถือได้มากขึ้น โดยเทคโนโลยีการเข้าสู่ระบบเว็บไซต์สามารถทำได้โดยการตรวจสอบข้อมูลทางชีวภาพหรือรหัส PIN ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนของผู้ใช้ วิธีการนี้ก็เชื่อถือได้มากกว่าการใช้พาสเวิร์ดและรหัสครั้งเดียว (OTP) รวมกัน อีกทั้งยังใช้งานง่ายและรวดเร็วกว่าอีกด้วย
3. พาสเวิร์ดเก่าเปลี่ยนทั้งหมด
แม้จะมีการใช้พาสคีย์แล้วแต่พาสเวิร์ดที่ยังอยู่ก็อาจเสี่ยงต่อการถูกแฮ็กข้อมูลและข้อมูลรั่วไหล หากต้องการป้องกันการถูกแฮ็กพาสเวิร์ด แนะนำให้ตรวจสอบพาสเวิร์ดทั้งหมดและรีเซ็ตรหัสผ่านที่สั้นน้อยกว่า 12 ตัวอักษร หรือพาสเวิร์ดที่เก่ามาก จากนั้นสร้างพาสเวิร์ดใหม่ตามมาตรการปฏิบัติด้านความปลอดภัยที่ดีที่สุด อย่างที่ทราบกันดีว่าไม่ควรใช้พาสเวิร์ดซ้ำกัน จึงควรสร้างพาสเวิร์ดใหม่และจัดเก็บไว้ในโปรแกรมจัดการพาสเวิร์ด (password manager) ที่เชื่อถือได้

4. รู้จักวิธีตรวจจับ deepfake
ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของนิวรัลเน็ตเวิร์กทำให้มิจฉาชีพสามารถเปลี่ยนวิดีโอ ดีพเฟคของคนดังเป็นการโจมตีบุคคลเฉพาะกลุ่มโดยใช้เสียงและรูปภาพปลอมของใครก็ได้ ปัจจุบันนี้การสร้างวิดีโอของคนที่เรารู้จักเพื่อขอเงินหรืออย่างอื่นทำได้ง่ายกว่าเมื่อก่อน ดังนั้นจึงควรติดต่อบุคคลนั้นผ่านช่องทางอื่นเพื่อตรวจสอบคำขอที่ผิดปกติซ้ำอีกครั้งในปีที่แล้วมีการรั่วไหลของข้อมูลบันทึกทางการแพทย์จำนวนมาก จึงคาดว่าจะเห็นการหลอกลวงทางการแพทย์แบบเจาะจงเป้าหมายใหม่ๆ ในปีนี้
5. ใช้โปรแกรมส่งข้อความส่วนตัว
ปี 67 มีเหตุการณ์ที่สั่นคลอนความเป็นส่วนตัวครั้งใหญ่ของโลกถึงสองครั้ง เหตุการณ์แรกคือการจับกุม Pavel Durov ผู้ก่อตั้ง Telegram ทำให้ผู้ใช้หวาดกลัวว่าหน่วยข่าวกรองอาจเริ่มสอดส่องการติดต่อสื่อสารของผู้ใช้ และต่อมาสหรัฐอเมริกาต้องเผชิญกับเรื่องอื้อฉาวเมื่อหน่วยข่าวกรองต่างประเทศได้แฮ็กระบบดักฟังที่ถูกกฎหมายซึ่งดำเนินการโดยผู้ให้บริการโทรคมนาคมของสหรัฐฯ ทั้งหมด และสามารถเข้าถึงการโทรและข้อความของชาวอเมริกันได้ เจ้าหน้าที่รัฐจึงแนะนำให้เปลี่ยนมาใช้โปรแกรมส่งข้อความส่วนตัวเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ซึ่งทางแคสเปอร์สกี้เห็นด้วยกับการใช้โปรแกรมส่งข้อความส่วนตัว และแนะนำให้เลือกโปรแกรมที่มีการเข้ารหัสทั้งจากต้นทางถึงปลายทาง

6. กำหนดวันเพื่อสำรองข้อมูล
การสำรองข้อมูลถือเป็นสิ่งสำคัญ หากลืมว่าสำรองข้อมูลครั้งล่าสุดเมื่อใด ขอแนะนำให้กำหนดเป็นตารางกิจกรรมในโปรแกรมปฏิทิน โดยการสำรองข้อมูลควรทำบ่อยๆ เช่น รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน ขึ้นอยู่กับประเภทของข้อมูล
และการสำรองข้อมูลจะต้องเป็นแบบสองทาง (two-way) คือ สำรองข้อมูลในโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ไปจัดเก็บบนคลาวด์ (เช่น การสำรองรูปถ่ายในโทรศัพท์) และดาวน์โหลดข้อมูลบนคลาวด์ไปยังที่จัดเก็บข้อมูลภายใน (เช่น ข้อความ Gmail)วิธีนี้จะช่วยให้ผู้ใช้ป้องกันตนจากปัญหาต่างๆ ได้มากมาย เช่น คอมพิวเตอร์ขัดข้อง ถูกขโมยสมาร์ทโฟน ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ เป็นต้น
7. ลดการป้อนหมายเลขบัตรธนาคาร
ข้อมูลการเงินเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อไม่ให้ต้องคาดเดาว่าข้อมูลการชำระเงินปลอดภัยหรือไม่ และไม่ต้องยุ่งยากกับการติดต่อธนาคารและออกบัตรใหม่หลังจากมีการรั่วไหลข้อมูลทุกๆ ครั้ง แนะนำให้บันทึกข้อมูลบัตรไว้ในบริการที่มีชื่อเสียงและปลอดภัย เช่น PayPal, Google Pay, Apple Pay หรือบริการที่คล้ายกัน และใช้บัตรเพื่อชำระเงินสำหรับการซื้อสินค้าและบริการทุกอย่างที่เป็นไปได้ ใช้ได้กับการซื้อทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ วิธีนี้จะทำให้ผู้โจมตีดักจับข้อมูลการชำระเงินได้ยากขึ้น และลดโอกาสที่อาจเกิดความเสียหายในกรณีที่ร้านค้าขนาดใหญ่หรือบริการออนไลน์ถูกแฮ็ก
ทั้งหมดถือเป็น ข้อแนะนำที่ควรปฎิบัติตาม หากทำได้ทั้งหมเจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้อย่างแน่นอน!!
จิราวัฒน์ จารุพันธ์