สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ว่าทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ใช้อำนาจตามกฎหมาย “อำนาจฉุกเฉินทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ” เพื่อจัดการกับ “ภัยคุกคามที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับสหรัฐ จากผู้อพยพผิดกฎหมายและยาเสพติด รวมถึง เฟนทานิล” ซึ่งก่อให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉินระดับประเทศ
ทำเนียบขาวกล่าวว่า ด้วยเหตุนี้ สหรัฐต้องใช้มาตรการภาษี 25% กับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก และสินค้าจากจีนต้องเผชิญกับอัตราภาษีเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 10% มีผลตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. นี้
— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) February 1, 2025
อย่างไรก็ตาม เฉพาะสินค้าพลังงานจากแคนาดา จะเผชิญกับกำแพงภาษีที่ระดับ 10% ปัจจุบัน 60% ของน้ำมันดิบที่ใช้ในสหรัฐ นำเข้าจากแคนาดา
ทั้งนี้ เป้าหมายของการขึ้นภาษีกับทั้งสามประเทศ คือการต้องให้อีกฝ่าย “เพิ่มความรับผิดชอบ” ในการหยุดยั้งผู้อพยพผิดกฎหมาย การสกัดกั้นเฟนทานิล และยาเสพติดอีกหลายชนิด ไม่ให้ข้ามพรมแดนเข้าสู่สหรัฐอีก
“We need to protect Americans, and it is my duty as President to ensure the safety of all. I made a promise on my Campaign to stop the flood of illegal aliens and drugs from pouring across our Borders, and Americans overwhelmingly voted in favor of it.” –President Trump pic.twitter.com/rJ9opLBJzr
— The White House (@WhiteHouse) February 1, 2025
ขณะเดียวกัน แถลงการณ์ของทำเนียบขาวตำหนิ “เฟคนิวส์” เกี่ยวกับมาตรการกำแพงภาษีของทรัมป์ โดยอ้างอิง “ผลการศึกษาวิจัยเมื่อปี 2567” ที่ยืนยันว่า มาตรการภาษีของรัฐบาลทรัมป์สมัยแรก “สร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจให้กับสังคมอเมริกัน” และทำให้อุตสาหกรรมหลายประเภทกลับมาตั้งฐานการผลิตในประเทศตามเดิม
อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายยังคงเตือนว่า การตั้งกำแพงภาษีจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในสหรัฐ ที่จะต้องใช้จ่ายแพงขึ้นเพื่อซื้อสินค้า เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และอัตราเงินเฟ้อในประเทศจะเพิ่มขึ้นด้วย
ด้านประธานาธิบดีคลอเดีย ไชน์บาว์ม ผู้นำเม็กซิโก และนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ผู้นำแคนาดา ต่างยืนยันว่า เศรษฐกิจของตัวเองมีเสถียรภาพเพียงพอ และจะตอบโต้กับมาตรการทั้งหมดของสหรัฐ.
เครดิตภาพ : AFP