“สมองล้า” เป็นภาวะที่เกิดได้กับทุกคน มาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นอายุที่มากขึ้น การทำงานหนัก พักผ่อนน้อย แถมมีความเครียดสะสม ส่งผลต่อสมองของเราให้ยิ่งอ่อนล้าและถดถอย ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดโรคร้ายแรงตามมา

มีคำแนะนำจาก “โรงพยาบาลกรุงเทพ อินเตอร์เนชั่นแนล” มาบอกเล่าถึงสาเหตุของภาวะสมองล้า พร้อมกับการดูแลรักษาและบำรุงสมองให้แข็งแรง ป้องกันก่อนลุกลามเกิดโรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน โรคความจำเสื่อมก่อนวัย

ภาวะสมองล้า (Brain Fog Syndrome) คือ ภาวะเครียดโดยไม่รู้ตัวจากการที่สมองถูกใช้งานอย่างหนักเป็นระยะเวลานาน ซึ่งอาจเกิดจากความเร่งรีบที่จะทำงานให้เสร็จ การพักผ่อนน้อย หรือการทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานเกินไป ทำให้สารสื่อประสาทในสมองซึ่งเป็นสารเคมีที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อข้อมูลสัญญาณไฟฟ้าระหว่างเซลล์ของระบบประสาทเสียสมดุล ประสิทธิภาพการทำงานของสมองจึงแย่ลง มีการเปรียบเทียบไว้ว่าเหมือนมีหมอกลงในสมองทำให้ไม่สดใส หากภาวะดังกล่าวเกิดบ่อยครั้ง จะกลายเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ มากมาย

สาเหตุของภาวะสมองล้า

@ คลื่นแม่เหล็ก จากการใช้งานคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ แท็บแล็ตมากเกินไป รบกวนการหลั่งสารสื่อประสาทในสมอง

@ ความเครียด ทำให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองลดลง เกิดอาการมึนงง ความจำแย่ลง

@ นอนดึก นอนไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย

@ ขาดสารอาหาร อาทิ กรดอะมิโน วิตามิน เกลือแร่ และสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ

@ สารพิษในชีวิตประจำวัน เช่น มลภาวะ สารเคมี โลหะหนัก ยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนในอากาศ น้ำ และอาหาร

อาการเตือนภาวะสมองล้า

@ นอนไม่หลับ

@ ปวดศีรษะเรื้อรัง

@ สายตาอ่อนเพลีย

@ จัดการหรือแก้ไขปัญหาต่างๆได้ไม่ดีเหมือนก่อน

@ อารมณ์แปรปรวน

@ หงุดหงิดง่าย

@ ขี้ลืม

@ ความจำระยะสั้นแย่ลง

@ สมาธิในการทำงานลดลง

@ ความคิดสร้างสรรค์ที่เคยมีหายไป

@ ลางานบ่อย

@ ไม่สดชื่น

ดูแลรักษาสมองไม่ให้ล้า

@ ควบคุมการใช้เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ ไม่ใช้งานนานจนเกินไปหรือตลอดทั้งวัน ควรหยุดพักบ้างเป็นระยะ

@ คิดบวก มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ไม่เครียด

@ ทานอาหารที่มีประโยชน์ช่วยบำรุงสมอง

@ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอวันละ 7-8 ชั่วโมง และควรนอนในเวลา 22.00 น. ไม่เกินเที่ยงคืน

@ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะช่วยให้สุขภาพสมองแข็งแรง

@ เลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และไม่ดื่มกาแฟในช่วงเย็นเพราะอาจรบกวนการนอนหลับ

@ ท่องเที่ยวธรรมชาติเพื่อผ่อนคลาย และได้สูดออกซิเจนให้เต็มปอด ช่วยเติมพลังชีวิตได้ดี

สารอาหารบำรุงสมอง

1.น้ำมันปลา (Fish Oil) ประกอบด้วย ดีเอชเอ (DHA) กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโอเมก้า 3 ซึ่งมีมากในปลาชนิดต่าง ๆ เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน ช่วยป้องกันโรคเสื่อมต่างๆ มีความสำคัญทั้งด้านความจำของสมอง ทักษะการทำงานด้านการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท รวมถึงระบบการมองเห็นของจอประสาทตา

2.สารสกัดจากแปะก๊วย (Ginkgo Biloba Extract) ช่วยในการทำงานของระบบไหลเวียนเลือดให้ไปเลี้ยงสมองและส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้ดีขึ้น ป้องกันภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทัน เพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่นแก่ผนังหลอดเลือด เพิ่มพลังงานแก่เซลล์สมองโดยตรง ช่วยให้สมองมีประสิทธิภาพในการเรียนรู้และมีความจำที่ดี มีสารต้านอนุมูลอิสระจำพวกกลุ่มฟลาโวนอยด์ช่วยป้องกันความเสื่อมของสมองและหลอดเลือด ลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์

3.โคลีน (Choline Bitartrate) คือ สารอาหารสำคัญตัวหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มของวิตามินบี เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ เยื่อหุ้มสมอง กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท รวมทั้งไลโปโปรตีน (Lipoprotein) อีกทั้งยังเป็นสารตั้งต้นในการสร้างอะเซททิลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ใช้ในการส่งกระแสประสาทของสมอง การรับสารโคลีนเพียงพอต่อวัน จะช่วยป้องกันภาวะความจำเสื่อมได้

4.สารสกัดจมูกข้าว (Gamma Oryzanol) มีบทบาทสําคัญในการทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทในระบบประสาทส่วนกลาง นอกจากนี้ถือเป็นสารสื่อประสาทประเภทสารยับยั้ง โดยทำหน้าที่รักษาสมดุลในสมองที่ได้รับการกระตุ้น ซึ่งช่วยทำให้สมองเกิดการผ่อนคลายและนอนหลับสบาย

5.ธีอะนีน (L–Theanine) เพิ่มสารซีโรโทนิน โดพามีน และกาบา (GABA) ทำให้เกิดความผ่อนคลาย และลดความเครียดได้ เสริมให้จิตใจสงบ มีสมาธิมากขึ้น ไม่หงุดหงิดง่าย ช่วยให้ลำดับความคิดเป็นระบบระเบียบมากขึ้น ประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้น คุณภาพการนอนหลับดีขึ้น นอนหลับสนิทและเต็มอิ่ม

6.ฟอสฟาติดิลซีรีน (Phosphatidylserine) ไขมันชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาทในสมอง ซึ่งไม่สามารถรับได้จากอาหารทั่วไป แต่ร่างกายสามารถผลิตได้เองเพื่อปกป้องเซลล์สมองให้มีสุขภาพที่ดี ป้องกันหรือชะลอการเสื่อมสลายของเซลล์ประสาทในสมอง ช่วยรักษาความจำที่บกพร่อง โรคอัลไซเมอร์ ความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ โรคสมองเสื่อม ช่วยซ่อมแซมความเสียหายของสมอง คงสภาพระบบประสาทการรับรู้ในผู้สูงอายุ กระตุ้นการทำงานของสมองของเอนไซม์ต่างๆ สารสื่อประสาท และอาจช่วยปรับปรุงความทรงจำ เพิ่มทักษะการเรียนรู้ได้ในทุกช่วงวัย ลดอาการของโรคสมาธิสั้น ลดความเครียด  ลดความอ่อนล้าของสมอง ให้เกิดความสมดุลทางอารมณ์ โดยกระบวนการผลิตสารชนิดนี้จะลดลงเรื่อย ๆ เมื่ออายุมากขึ้น

7.อิโนซิทอล (Inositol) สารชนิดหนึ่งในกลุ่มวิตามินบีที่มีบทบาทสำคัญในระบบประสาทและระบบการกำจัดไขมันในร่างกาย อุดมไปด้วยสารโคลอสตรุ้ม (Colostrums) ที่เป็นสารอาหารในน้ำนมแม่ระยะ 4 -5 วันแรก ซึ่งมีประโยชน์ในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยื่อหุ้มระบบประสาท เซลล์รากผมที่ทำหน้าที่สร้างผม และเซลล์ไขกระดูกให้มีความแข็งแรงสมบรูณ์

8.สารสกัดจากโสม พืชสมุนไพรที่นิยมมากกว่า 5,000 ปี มีความเชื่อกันว่า รากโสมสามารถรักษาได้สารพัดโรค สารสกัดจากโสมมีสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด ช่วยต้านความเครียด ช่วยฟื้นฟูและเพิ่มสมรรถภาพการทำงานของร่างกาย เพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและช่วยชะลอความแก่

9.ซอยเลซิทิน (Soy Lecithin) มี Phosphaticylcholine ให้สารโคลีน ช่วยให้ความจำและความสามารถในการเรียนรู้ดีขึ้น การทำงานของตับมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดการอุดตันของถุงน้ำดี ให้สารอิโนซิทอล (Inositol) ซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยบำรุงเซลล์ประสาท ทำให้การทำงานของระบบประสาทดีขึ้น ใช้เพื่อป้องกันและรักษาโรคความจำเสื่อม

10.แอลคาร์นิทีน แอลทาร์เทรต (L-Carnitine L-Tartrate) มีบทบาทสำคัญในส่วนของการผลิตอะซิติลโคลีน สารเคมีในสมองที่ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทในสมอง ช่วยแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสมอง และเซลล์ประสาท เช่น โรคสมองเสื่อม โดยสามารถทานควบคู่กับยาที่ใช้ในการรักษา เพราะกรดอะมิโนนี้มีความสามารถในการซึมผ่านเส้นเลือดฝอยขนาดจิ๋วในสมอง หรือที่เรียกกันว่า Blood Brain Barrier (BBB) ได้ นอกจากช่วยเสริมสร้างสารสื่อประสาทในสมองยังมีคุณสมบัติอื่น ๆ เช่น กำจัดอนุมูลอิสระในสมองและช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์สมองอันเนื่องมาจากความชราได้

11.วิตามินซี มีความสำคัญในการสร้างและซ่อมแซมสารโปรตีนที่ใช้ยึดเซลล์ในเนื้อเยื่อชนิดเดียวกันในร่างกาย ได้แก่ เนื้อเยื่อหลอดเลือดฝอย กระดูก ฟันและพังผืด การรักษาบาดแผลในร่างกายมนุษย์ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่ร่างกายได้รับเข้าไป และมีส่วนสำคัญในการสร้างฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย

12.วิตามินเอ เป็นวิตามินที่มีส่วนช่วยในการมองเห็น เพิ่มภูมิคุ้มกัน ทำให้อาการป่วยหายเร็วขึ้น เสริมสร้างให้กระดูก ฟัน และเล็บแข็งแรง นอกจากนี้ยังป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจและระบบปัสสาวะ ผิวและผมแข็งแรง ช่วยบรรเทาโรคที่เกี่ยวกับไทรอยด์ได้

13.วิตามินอี สารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่ดี ช่วยป้องกันการทำลายเซลล์ หรือลดความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ที่มีสาเหตุมาจากอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงภาวะผนังหลอดเลือดแข็งตัว, โรคหัวใจ, ภาวะความดันโลหิตสูง, ภาวะปวดอักเสบข้อ, ความแก่ หรือภาวะมะเร็งตามมาได้ในระยะยาว

14.วิตามินบี มีความเกี่ยวข้องกับการทำงานของเอนไซม์ต่าง ๆ ในร่างกาย ช่วยในการผลิตกรดอะมิโน เสริมสร้างร่างกายที่สึกหรอ ช่วยรักษาสมดุลของระบบต่างๆ วิตามินบี 1 ช่วยลดอาการชาตามปลายมือปลายเท้า, วิตามินบี 2 ช่วยเร่งขบวนการเผาผลาญสารอาหารคาร์โบไฮเดรตและไขมัน, วิตามินบี 3 ทำให้ร่างกายสดชื่นได้อย่างรวดเร็ว, วิตามินบี 5 ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น บำรุงผิวหนังและระบบประสาทให้ทำงานได้ดีขึ้น, วิตามินบี 6 จำเป็นในขบวนการสร้างฮอร์โมนและสารสื่อประสาทต่าง ๆ ในร่างกาย ลดอาการสมองเสื่อมและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย, วิตามินบี 12 ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง กระตุ้นการเจริญเติบโตในเด็กและระบบการย่อยอาหารและดูดซึมอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเร่งขบวนการเผาผลาญสารอาหารต่างๆ ให้เกิดเป็นพลังงาน

การบำรุงสมองให้แข็งแรงอยู่เสมอ คือสิ่งสำคัญ นอกจากรู้จักใช้สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ในเวลาที่พอดี พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด ส่วนการเลือกทานอาหารเสริมบำรุงสมองที่ปรุงและวิจัยโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญมาตรฐานโรงพยาบาลเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ

ยิ่งถ้ามีส่วนผสมของน้ำมันปลา ธีอะนีน ฟอสฟาติดิลซีรีน สารสกัดจากแปะก๊วย โคลีน อิโนซิทอล โสม สารสกัดจมูกข้าว ซอยเลซิทิน แอลคาร์นิทีน แอลทาร์เทรต และวิตามินทั้งเอ บี ซี และอี ย่อมช่วยเสริมความจำ ลดความอ่อนล้าของสมอง ลดความเครียด ปรับสมดุลอารมณ์ ช่วยให้สมองแข็งแรงไม่เสื่อมก่อนวัย.