เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งคนที่เหมือนจะห่างหายจากหน้าจอไปพอสมควร สำหรับ “พิม พิมพ์พรรณ” นักแสดงเจ้าบทบาทมากความสามารถ ซึ่งล่าสุดเจ้าตัวได้มาเปิดใจหลังเจอวิกฤติละครหด หลังเคยเป็นเจ้าแม่ละคร ปัจจุบันผันตัวไปเป็นแม่ค้า ตั้งบูธขายน้ำเลม่อน ชานม รวมถึงประกาศขายคอนโดฯ ที่เคยอยู่ พร้อมเผยเรื่องที่ทำให้เสียน้ำตาส่งท้ายปีที่ผ่านมา เพราะตรวจเจอค่ามะเร็ง จำเป็นต้องตัดมดลูกทิ้ง ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง One31

พิมเผยว่า “ตอนนี้ก็มีเล่นละครเป็นหลัก แล้วก็ออกบูธขายน้ำเลม่อน ชานมนานาชาติ มีชาไทย ชาพม่า ชาอินเดีย ชาอู่หลง ชาเอิร์ลเกรย์ คือเราชอบคิดอยู่แล้ว บวกกับเคยขายชานมไต้หวันมาก่อนตั้งแต่ก่อนโควิด แล้วก็เลิกทำเพราะพิษโควิด แต่ตอนนี้ก็เลยมาพัฒนาเอาชาอันนั้นชาอันนี้มามิกซ์กัน ก็เลยกลายเป็นชานมนานาชาติ ซึ่งมันก็อร่อยมาก ส่วนที่ต้องผันตัวเองมาเป็นแม่ค้า จุดเปลี่ยนก็คือ ก่อนหน้านี้งานละครมันค่อยๆ ซาลง แล้วน้องสาวก็เจอปัญหาเกี่ยวกับเศรษฐกิจ เขามีหนี้สิน เราก็ต้องไปซัพพอร์ต และมันเป็นจังหวะที่เป็นปีชงพอดี มันก็เกิดเรื่องราว เราเป็นพรีเซ็นเตอร์มา 20 ปี อยู่ดีๆ เศรษฐกิจมันเปลี่ยน เขาก็เลยยกเลิกสัญญา แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่ต้องซัพพอร์ตน้อง เรามีบูธฟรี บูธดาราเยอะ ก็เลยเอาผลิตภัณฑ์ของน้องมาขายด้วยกัน ช่วงนั้นหนักมาก แม่ก็เสียในปีนั้นด้วย ก็เลยจริงจังเริ่มคิดสูตรขึ้นมา ซึ่งงานในวงการบันเทิงก็มีผลกระทบกับดาราหลายคน อย่างของพิมเอง สาเหตุของงานละครน้อยลงมันเกี่ยวข้องมากๆ เมื่อก่อนพิมจะงานเยอะ เปิดไปช่องไหนก็เห็น แต่พอมาช่วงหลังอย่างที่รู้กัน ผู้จัดก็น้อยลง เนื่องจากว่าเศรษฐกิจ การซื้อโฆษณาก็น้อยลง ก็เลยหยุดผลิตไปเยอะ แต่ก็ยังดีที่เรายังมีงานที่เขาจ้างเราอยู่ แล้วก็มีเวลาว่างมากขึ้น ก่อนหน้านี้พีคที่สุดต่อปี รับงานประมาณ 10 เรื่องได้ คือบทพิมไม่ได้ดำเนินเรื่องทั้งหมด มันก็เลยพอมีเวลาที่จะแบ่งได้ แล้วก็โชคดีไม่ค่อยมีปัญหาแบบคิวชนกัน แล้วมันก็เป็นแบบนั้นอยู่หลายปี จนมาช่วง 2 ปีหลังนี่ ที่มันซาๆ ลง อย่างน่าตกใจ เพื่อนบางคนเรียกว่านอนอยู่บ้านแล้ว ไม่มีงานจ้าง แล้ว อย่างปีนี้มีละครอยู่ 2 เรื่องค่ะ กำลังถ่ายทำอยู่ 7 วัน ก็ต้องขอบคุณความโชคดีของเรา ที่เรายังมีงานอยู่ ช่วงเวลาที่เราว่างมากๆ ถามว่าเรามีภาระที่ต้องคิดมากไหม มันก็ไม่ได้มีเหมือนคนอื่น เพราะว่าเราไม่ได้มีหนี้สิน แต่ว่าเวลาที่เราอยู่บ้านว่างๆ มันรู้สึกว่าตัวเราไม่มีค่า จนเรามาคิดว่าเราจะเอาเวลาตรงนี้ไปทำอะไรให้มีค่ามากขึ้น ก็เลยได้คิดค้นสูตรที่เราชอบ กลายมาเป็นแม่ค้าเต็มตัว ทำเองทุกขั้นตอน ขนของเอง จัดร้านเอง ยืนขายเอง ทุกอย่าง จนน้องร้านข้างๆ บอกพี่พิมผมสงสารพี่จัง เอาคนของร้านผมไปช่วยก็ได้

พอเป็นดาราไปขายของ ก็ต้องมีคนเมาท์ว่าตกอับ กับข่าวแบบนี้ ถามว่าเวลาเราได้เห็นเรารู้สึกยังไง พิมไม่ได้รู้สึกอะไรเลย คิดว่าบางคนก็อาจจะอยากรู้จริงๆ ว่าทำไมดาราถึงมาขายของ เพราะในมุมความคิดของสมัยก่อน ดาราเป็นอะไรที่อยู่สูง สวยๆ รวยเป็นไฮโซ การมาทำอาชีพแม่ค้า เขาจะมองว่าทำไมคนนี้ตกลงมา ถามว่าเรื่องเงินไม่ควรเป็นตัววัดว่าทำอาชีพอะไร หรือไม่ควรทำอาชีพอะไร ทุกคนมีอาชีพที่สุจริต แล้วรักที่จะทำ พิมว่าไม่ผิดที่จะทำ ซึ่งการเป็นแม่ค้าสนุกมาก แล้วมันก็เหนื่อยมาก แต่มันเหนื่อยด้วยรอยยิ้ม ซึ่งเราเคยคิดจะผันตัวเองจากวงการ แล้วไปทำธุรกิจเต็มตัว ไปลุยกับธุรกิจชาเต็มตัวไหม พิมว่าพิมเกิดมาเพื่อเป็นนักแสดง มันเป็นอาชีพที่ทุกครั้งที่มากองมันมีความสุขมากๆ แต่ถ้าวันหนึ่งที่มันดร็อปลงแล้ว คิดว่าต้องมีอาชีพ 2-3 สำรองไว้ เราด้วยความที่เราไม่ได้เดือดร้อนเรื่องการเงินสักเท่าไหร่ ก็เอาที่เราแฮปปี้ และทำแล้วมีความสุข ตอนนี้มันมีเวลาว่างเยอะมากที่เราจะคิดว่าเราจะทำอะไรต่อไปที่มันมีความสุข แล้วก็สามารถหล่อเลี้ยงตัวเองได้ อย่างล่าสุดประกาศขายคอนโดฯ ตัวเอง คือพิมซื้อคอนโดฯ นานแล้ว อยู่มา 5 ปีแล้ว ย้ายที่อยู่ มาซื้อที่ใหม่ ที่เก่าก็ไม่รู้จะเก็บไว้ทำอะไรเพราะไม่มีคนอยู่ ปล่อยเช่าก็กลัวโทรม ก็เลยขายดีกว่า เผื่อเอาเงินก้อนนั้นมาทำอย่างอื่นได้ ไปลงทุนในคอนโดฯ ที่อื่นได้ พอประกาศขายคอนโดฯ ก็โดนอีก ติดขัดอะไรหรือเปล่าทำไมต้องรีบขาย แต่ก็ยังโชคดีที่พิมไม่ติดขัดแบบนั้น เรียกว่าโตขึ้นมาลำบากมาก แทบไม่มีบ้านให้อยู่ เพราะว่าพ่อทำธุรกิจแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ก็โดนยึดทุกอย่าง เราก็ต้องดูแลน้อง ดูแลทุกคนในครอบครัว ตั้งแต่ยังไม่จบมหา’ลัย ก็เลยเป็นสาวแกร่ง เป็นนักสู้ ไม่อยากมีหนี้ พยายามโปะทุกอย่าง จนตอนนี้ที่ใหม่ก็โปะแล้ว ที่เก่าก็ไม่มีหนี้ เลยรู้สึกว่าความไม่มีหนี้ มันเป็นอะไรที่วิเศษที่สุดแล้ว

ซึ่งพิมกลัวการเป็นหนี้มาก เหมือนเป็นแพนิค ถ้าต้องซื้อสิ่งใดที่ต้องเป็นหนี้ คือกังวลมาก พิมอาจจะเว่อร์ไปนิดหนึ่ง สมมุติถ้าพิมจะซื้อบ้านสักหนึ่งหลังราคา 5 พัน พิมจำเป็นต้องมีเงินก่อน งานในวงการมันไม่แน่นอน ถ้าเกิดวันหนึ่ง เรามีเงินไม่พอที่จะใช้หนี้ กลัวจะโดนยึด ไม่ว่าพิมจะซื้ออะไรสักอย่าง ต้องมีเงินเต็มก้อนก่อน ถึงแม้จะเป็นการผ่อนก็ตาม ถ้าเรามีไม่พอเราก็ไม่ต้องรีบซื้อ ไม่ได้ถึงกับเครียดนะ เพราะว่าเราสะสมมาเรื่อยๆ จนมาจุดหนึ่งที่เราอยากขยาย ซึ่งมันก็พร้อมที่จะมีตั้งแต่ตอนนั้น แต่ที่เราหนักก็คือต้องดูแลทุกคน ซึ่งครอบครัวพิมตอนนี้เหลือแค่น้อง และอาที่เป็นสามีของแม่ แม่เสียไปแล้ว พ่อเสียไปแล้ว ก็ต้องดูแลคุณอาเขาต่อ เขาอายุเยอะแล้ว ซึ่งเรารับผิดชอบครอบครัวมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย พอเรียนจบ ก็ทำแบงก์ แล้วก็ขายประกัน ต้องซื้อบ้านจากที่โดนยึดกลับมา แล้วก็ส่งน้องเรียนหนังสือ แล้วก็เลี้ยงดูแม่ เพราะแม่กับพ่อแยกกัน ก็จะมีหลายครอบครัวที่เราต้องดูแล

ส่วนปีที่แล้ว เรามีปัญหาเรื่องสุขภาพเกี่ยวกับมดลูก คือมดลูกมันมีซีสต์อยู่นานแล้ว คุณหมอบอกว่าต้องกินยาควบคุม ก็เป็นฮอร์โมนอะไรแบบนี้ เพื่อไม่ให้มันโตขึ้น แล้วทีนี้มันอ้วน พอออกกล้องแล้วมันทำงานยาก ก็เลยขอคุณหมอหยุดยา แล้วไปเช็กอัพทุก 6 เดือน แต่พอผ่านไป 6 เดือน มันโตไวมาก โตไวขนาดแบบมดลูกมันบิดตัวจนหมอบอกตัดทิ้งเถอะ คือมันปวดท้องหนักทุกครั้ง แต่เวลาที่เราเทคฮอร์โมนมันจะไม่มีประจำเดือน มันเลยไม่มีการปวดท้อง คุณหมอเลยส่งไป MRI เพราะตรวจเลือดแล้วมันมีเชื้อมะเร็งอยู่นิดหน่อย ซึ่งมันก็เสี่ยงมาก แต่ยังไม่ถึงขั้นคอนเฟิร์มว่าเป็นมะเร็ง แค่พบว่ามันมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้ ถามว่าพอคุณหมอพูดแบบนั้นเราใจหายไหม พิมเป็นคนไม่ค่อยตกใจกับอะไรอย่างนี้ สมมุติถ้าเป็นก็รักษาก็ทำให้มันดีที่สุด ณ ปัจจุบันตัดออกไปแล้ว ตัดไปแล้วทั้งยวง ยกเว้นรังไข่ไว้ปล่อยฮอร์โมน เราจะได้ไม่ต้องเทคฮอร์โมน ก็สบายมากเลย ซึ่งมันไม่ได้ส่งผลต่อสุขภาพเราตอนนี้เลย เพราะว่าเราตัดมดลูกกับปีกมดลูก แต่ว่าเรายังเหลือรังไข่ที่ปล่อยฮอร์โมน คือคนที่ไม่มีรังไข่ เขาจะต้องเทคแล้วจะทำให้แก่ก่อนวัย แต่ว่าพิมยังมีรังไข่ที่ปล่อยฮอร์โมน แล้วตัดมดลูกไปมันก็ลดความเสี่ยงที่เป็นมะเร็ง แต่ตอนนี้ก็ต้องไปเช็คร่างกายทุกเดือน แล้วก็เทคฮอร์โมน 10 เดือน ให้มันคุมอยู่ก็ยังอ้วนๆ หน่อย ซึ่งตอนรู้ว่ามีเชื้อมะเร็ง คนที่กลัวที่สุดไม่ใช่พิม แต่เป็นคนใกล้ตัวพิม ดูหน้าเขารู้เลยว่าเป็นห่วงมาก ตอนที่พิมไป MRI เพื่อดูว่ามันเป็นมะเร็งหรือเปล่าก่อนจะผ่าตัดเนี่ย ก็จะมีคนไข้ที่รอ MRI หันไปเห็นผู้ชายคนหนึ่ง เขานั่งกังวลหนักกว่าเราก็คือแฟนเรานั่นแหละ เขากังวลมากๆ จนเรารู้สึกว่าเราต้องรักสุขภาพแล้วแหละ เพราะว่าคนที่อยู่กับเราในบั้นปลาย หรือ ณ ตอนนี้ก็คือเขา ถ้าเราเป็นอะไรไป เขาก็ต้องรับภาระดูแลเรามากกว่าใคร ใจวูบเลย ตอนเห็นหน้าเขา ถามว่าตอนนั้นเขาพูดอะไรกับเราไหม ตอนที่เราจะเข้าไป MRI คือมันอยู่ไกลกัน เราแค่เห็นสีหน้าเขารู้สึกว่าเขาทุกข์มาก

พิมต้องสู้กับอะไรหลายๆ อย่าง จนมาถึงวันนี้ มันยากนะ สำหรับพิมที่ต้นทุนชีวิตมันไม่มี ติดลบต้้งแต่เราเริ่ม บางคนเขายังมีครอบครัวที่ซัพพอร์ตได้ แต่ของเราต้องซัพพอร์ตครอบครัวตั้งแต่เราเริ่มที่จะใช้ชีวิตหาเงิน มันเหนื่อย แต่เราภูมิใจในตัวเองเหลือเกิน มันเหมือนเราเป็นนักสู้จริงๆ ที่เราสามารถมาถึงทุกวันนี้โดยที่เราไม่ได้มีต้นทุนมา เราสามารถดูแลทุกคนได้หายห่วง สร้างธุรกิจให้น้องๆ ได้ เห็นแกร่งแบบนี้ บางทีก็มีน้ำตา แต่เราเป็นคนที่ไม่ร้องไห้ให้ใครเห็น นอกจากช่วง 2 ปีที่แล้ว หลายอย่างเข้ามา คือนั่งร้องไห้คนเดียว ตอนนั้นแฟนอยู่อเมริกา เราร้องไห้แล้วกรี๊ดๆ ไม่รู้ว่าอาการนั้นมันซึมเศร้าหรือว่าอะไร ไม่เข้าใจตัวเอง

ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมาที่เกิดเรื่องกับพิมคือ คุณแม่เสีย แล้วก็เรื่องวงการบันเทิงที่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเยอะ แล้วพรีเซ็นเตอร์ที่ทำมา 20 ปี เขาหยุดสัญญากับพรีเซ็นเตอร์ทุกคน มันกะทันหันมากๆ แล้วน้องที่เขาเดือดร้อนแล้ว เขาไม่เคยบอกเราว่าเขาเอาบ้านเขาไปกู้เงิน เราก็เลยต้องมารับผิดชอบทุกอย่าง มันก็ยังช็อกๆ อยู่นิดหนึ่ง เพราะอินคัมต่อเดือนมันน้อยลงกะทันหันก็เลยคิดนิดหนึ่ง ซึ่งถามว่าเอากำลังใจมาจากไหน แฟนอยู่เมืองนอก แล้วเรากรี๊ด ร้องไห้คนเดียว คือไม่บอกใครนะ ทุกวันนี้เขาก็ไม่รู้ว่าเราเป็นอย่างนั้น แต่ว่าทุกวันเราคุยกันอยู่แล้ว ได้กำลังใจจากเขาล้วนๆ เพราะว่าเขาเป็นคนคิดบวก ก็แฮปปี้มากๆ เลยที่มีเขา ซึ่งอาการที่นั่งร้องไห้แล้วกรี๊ดออกมา มันถึงขั้นเราเป็นซึมเศร้าไหม อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาการนั้นมันเรียกว่าอะไร แต่เราอยู่ในห้อง มองเหม่อออกไปแล้วร้องไห้ เหมือนอยากจะกรี๊ดเพื่อระบายความเครียดออกมา ซึ่งเป็นแค่วันเดียว ครั้งเดียว

ทุกวันนี้ทำพินัยกรรมแล้ว ทำสักพักแล้ว พิมต้องวางแผนว่าสิ่งที่เรามี ที่เราสร้างไว้ใครจะได้บ้าง มีน้องสาวต้องได้ละ แฟนต้องได้ละ ถ้าเราเป็นอะไรไป แล้วน้องแฟนคลับที่รักกัน ดูแลเราเนี่ยก็ต้องแบ่งให้เขา เพราะเราอยู่กันเหมือนพี่น้อง ถามว่าทำไมเราต้องวางแผน คือถ้าพิมไม่วางแผนทุกอย่างก็จะเป็นชื่อคนใดคนหนึ่ง ตอนนั้นแม่ยังไม่เสีย แล้วถ้าแม่เป็นอะไรไป มันต้องกระจายไปเป็นของใครบ้าง แล้วน้องจะเหลืออะไร อันดับแรกๆ เป็นห่วงน้องมากที่สุด เพราะว่าทุกคนเขาเอาตัวรอดได้ อย่างแฟนไม่ต้องห่วงเขาอยู่แล้ว เพราะเขามีต้นทุนดี ก็มีน้องสาวนี่แหละ และมีชื่อแฟนคลับด้วย เพราะช่วงที่ผ่านมา เขาอยู่กับเราตลอดตอนที่เราไม่มีแฟน ไปไหนไปกัน ดูแลให้ใจเต็มร้อย เมื่อก่อนคนเดียว แต่ตอนนี้เริ่มมากขึ้นแล้ว เดี๋ยวเขียนใหม่ คือพิมเป็นคนที่ใครอยู่ข้างแล้วเห็นเขาลำบาก ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น อยากสร้างอาชีพให้เขาได้มีเงินทุน เพราะมันสำคัญมาก คนขยันถ้ามันไม่มีทุนเขาก็ไปต่อไม่ได้ ซึ่งความสนิทเรากับแฟนคลับเรียกว่าอยู่กับเราตลอด เวลาเราเรียกใช้อะไรเขายินดีด้วยซ้ำ ไม่อิดออดด้วย

พิมอยากบอกเป็นวิทยาทานนิดหนึ่ง เริ่มแรกมาจากการปวดท้องก่อน ปวดท้อง มีประจำเดือนเยอะแบบ 30 วันเต็มเลย แล้วเริ่มไปตรวจ พบว่ามีซีสต์ก่อน ก็ผ่าออกไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ในมดลูกมันไม่สามารถผ่าออกได้หมด เพราะว่ามันเป็นพังผืดก็เก็บไว้ ทานยาคุมควบคุมไป แต่ความที่กินยามันอ้วน มันก็ลำบากเนอะ แต่เขาให้ทางเลือกว่าผ่าตัดมดลูกก็ได้ แต่สำหรับหมอ หมอคิดว่ายังไม่จำเป็น เพราะเรายังทานฮอร์โมนควบคุมได้ ถ้าตัดมดลูกก็หมายความว่าเราก็มีลูกไม่ได้แล้ว ก็เก็บไว้คิดก่อน แล้วหลังๆ ขอหมอหยุดฮอร์โมนได้ไหม เพราะว่าน้ำหนักขึ้น พูดง่ายๆ เราห่วงงานจนเกินไป คิดว่าเราจะไม่เป็นอะไร อ้วนขึ้นเป็น 10 โล เราก็เลยบอกว่าถ้างั้นมาทุก 3 เดือนได้ไหมคะ แล้วเหตุผลที่ทำให้เราตัดมดลูกจริงๆ คือค่ามะเร็งมันขึ้นตั้งแต่ก่อนเจอซีสต์แล้ว แต่ว่ามันยังไม่เยอะมาก แต่ตอนหลังมันก็ค่อยๆ ขึ้น จนหมอบอกว่าไป MRI ดู แล้วพอออกมา คุณหมอคอนเฟิร์มว่าตัดเลย แล้วจริงๆ พิมอยากมีลูกมาก คือเราไม่มีครอบครัวที่สมบูรณ์ เราก็อยากมีครอบครัวที่มีสามีที่น่ารัก มีลูก เราคิดอย่างนั้น แต่ว่าพอมีแฟนก็คิดกับเขาเรื่อยๆ มา ก็พอจะเดาได้ว่าเขาอาจจะไม่พร้อมที่จะมีลูก ซึ่งแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แต่เขาก็ไม่ได้บอกตรงๆ ว่าลูก 1 คน ต้องใช้เงินเท่าไหร่ แล้วตอนนี้เราอายุ 40 กว่า จะเหนื่อยไหม เราอยู่ด้วยความเข้าใจกัน มันมีความสุขมากๆ อยู่แล้ว พอหมอบอกว่าเราตัดมดลูกทิ้ง เท่ากับเราไม่มีโอกาสที่จะมีลูกอีกแล้ว ตอนนั้นแอบร้องไห้ไม่ให้ใครเห็น ที่ร้องไห้เพราะมันมีความฝันด้วย เราคิดว่าเขาเป็นพ่อที่คุณภาพ และเราก็เป็นแม่ที่คุณภาพ มันเสียดาย พอเราร้องไห้กับเรื่องนี้ แฟนเรารับรู้ว่าเราเสียใจกับเรื่องนี้ เขาก็เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า เดี๋ยวเราจะเศร้าไป เพราะมันเป็นไปไม่ได้แล้ว มันเปลี่ยนใจเขาไม่ได้แล้ว เขาไม่อยากให้เราไปจมกับสิ่งที่มันผ่านไปแล้ว ซึ่งทำไมวันนี้ดูพิมเศร้าจัง มันอาจจะมีเรื่องที่เรากังวล ตอนนี้มันเลยเศร้า แต่ถามว่ามันจำเป็นต้องคิดมากอะไรขนาดนั้นไหม มันไม่จำเป็น เพราะเรามีทุกอย่างที่เราวางแผนไว้ แต่อาจจะเป็นจังหวะที่เราอาจจะน้อยใจ ทั้งที่เรามั่นใจว่าเราก็เป็นนักแสดงมืออาชีพคนหนึ่ง แต่มันก็เข้าใจ

แล้วแฟนเรากลับมาอยู่เมืองไทย น่าจะปีที่ 5 แล้ว คบกันตั้งแต่เขาอยู่ที่นู้นก็วิดีโอคอล 1 ปี แล้วมาอยู่นี่ 4 ปีกว่า ทั้งชีวิตที่ผ่านมาที่มีแฟน เนสเป็นคนที่เป็นได้ทั้งเพื่อน เป็นได้ทั้งที่ปรึกษา เป็นทุกอย่างเลย ถามว่ามีทะเลาะไหม ก็มีทุกคนแหละ พอเราโตขึ้น เราก็เริ่มรู้สึกที่จะต้องปรับความเข้าใจกัน ซึ่งเหตุผลอะไรที่ทำให้เขายอมกลับมาอยู่ไทยกับพิม อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ดีๆ เขาก็มา แล้วเช่าโรงแรมอยู่ของเขา แล้วก็ไม่ไปไหนเลย ผ่านมา 4-5 ปีแล้ว เขาก็ยังอยู่ที่นี่ แปลว่าเขาตัดสินใจแล้วว่าการเจอกันครั้งนี้ คือการมูฟชีวิตเขามาอยู่ที่นี่เลย”