ทำเอาเดือดหนักมาก หลัง อภิวัฒน์ อภิวัฒน์เสรี หรือ พอร์ช และ สัพพัญญู ปนาทกูล หรือ อาม คู่รัก LGBTG+ ได้หอบหลักฐาน เข้าแจ้งความบันทึกประจำวันกับเจ้าพนักงานที่ สน.เตาปูน หลังจากวันที่ 23 ม.ค. ที่ผ่านมา ทั้งคู่ได้จดทะเบียนสมรสเท่าเทียม โดยได้เริ่มต้นใช้ชีวิตคู่อย่างถูกกฎหมาย และก่อนหน้านี้ทั้งคู่ได้จัดพิธีฉลองมงคลสมรสกันมาแล้ว แต่ดันถูกกระแสโจมตี ด้วยข้อความหมิ่นประมาท วิพากษ์วิจารณ์ทางโซเชียลมากมาย รวมไปถึงขู่ฆ่าเอาชีวิตหลังใช้ชีวิตคู่แต่งงานนั้น

‘พอร์ช’ ลั่นมาถึงจุดที่โดนขู่ฆ่า หลังแต่งงานกับ ‘อาร์ม’ ชาวเน็ตหวั่นไม่ปลอดภัย-แนะควรฟ้อง!

โดยก่อนที่ทั้งคู่จะนำหลักฐานมอบให้กับทางเจ้าหน้าที่ ก็ได้เปิดใจถึงเหตุการณ์ดังกล่าว

พอร์ช เผยว่า “สำหรับวันนี้เราก็มาแจ้งความดำเนินคดี ซึ่งกรณีที่เราโดนข่มขู่เอาชีวิตหลังจากที่เราจดทะเบียนสมรสไปเมื่อวันที่ 23 ม.ค. ที่ผ่านมา ก็ได้มีข้อความส่งเข้ามาทางโซเชียลส่วนตัว ประมาณจะข่มขู่เอาชีวิต ซึ่งรายละเอียดก็คือผมอาจจะเปิดเผยมากไม่ได้ แต่โดยรวมก็คือขู่ฆ่าตรงตัวเลย ซึ่งเราไม่รู้จักเขาเลย สมรสเท่าเทียมคือกฎหมายที่ทำให้มนุษย์ 2 คน สร้างครอบครัวกันได้อย่างมั่นคง แต่กลายเป็นว่าพอมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมออกมา เราเลยได้รู้แล้วว่า กฎหมายไม่สามารถเปลี่ยนอคติที่มนุษย์มีให้กันได้ สิ่งที่จะเปลี่ยนได้ก็คือเวลา แต่ขณะที่เราใช้เวลาเพื่อแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่า การที่มนุษย์ 2 คน จะสร้างครอบครัวในรูปแบบที่แตกต่างกับเขามันต้องใช้เวลา ในขณะที่เรารอเวลานั้นอยู่ มันไม่ได้มีผลร้ายอะไรกับสังคม ในระหว่างนั้นอยากจะขอร้องว่า ให้เกียรติกัน ปฏิบัติต่อกันอย่างที่มนุษย์ปฏิบัติกับมนุษย์ ด้วยมารยาทและศักดิ์ศรีของความเป็นคนที่เท่ากัน ไม่ผิดนะที่จะไม่เห็นด้วย ไม่ผิดที่จะไม่ชอบ แต่การที่เราแสดงออกมาด้วยการแซะ การเหยียด การด่า หรือจนกระทั่งมาถึงการข่มขู่เอาชีวิต อันนี้ในทางกฎหมายเราก็มีความจำเป็นต้องดำเนินการ

ซึ่งพอได้รับข้อความนี้ หลายคนบอกว่าเราอยู่ในที่แจ้ง ไฟส่องมาก็ต้องเป็นแบบนี้ แต่อย่าลืมว่าเราก็เป็นคนเหมือนกับทุกคน มีชีวิต มีครอบครัว พอเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมา นอกจากเราที่รู้สึกกลัวแล้ว แม่เรา ครอบครัวเรา 2 คน เพื่อนๆ ก็กังวลมาก เผลอๆ อาจจะมากกว่าเราอีก ซึ่งเราก็อยากจะขออีกว่า ไม่ต้องเห็นด้วยก็ได้ และดูกันต่อไปยาวๆ ว่า ความกลัวที่มีในใจนั้น มันเป็นจริงไหม ถ้ามันมีปัญหา เราแก้กันด้วยกฎหมาย แต่ไม่ใช่การด่าทอกันหรือการทำร้ายข่มขู่ ซึ่งพอเขาทักมา เราก็ไม่ได้มีการตอบโต้อะไร แต่ถ้าหลังจากนี้ เขามีการตอบโต้ทักกลับมาขอโทษ เราก็ยืนยังว่าต้องตามกฎหมายเท่านั้น เพราะผมมองว่า คนเราทุกคนเวลาจะพิมพ์ มีเวลาคิด มีเวลาไตร่ตรอง และเราก็รู้อยู่ว่าเราอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน เพราะฉะนั้นทำมาแล้วก็ว่ากันไปตามกฎหมาย

พอหลังแต่งงานก็กระแสแรงเหมือนกัน ซึ่งเราก็เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า เดี๋ยวนี้เปิดรับกันแล้ว มีแต่ความยินดี แต่เราก็มารู้ว่าอคติเหล่านั้นไม่เคยหายไปไหน แค่เหมือนยังไม่ผุดขึ้นมาเท่านั้นเอง ซึ่งหนึ่งอาทิตย์ผ่านไป เราได้เห็นแล้วว่ามันมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็รู้สึกตกใจ มาขู่กัน ทั้งนี้เราไม่ได้รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ การไม่เห็นด้วยได้ ซึ่งเขามีสิทธิที่จะพูดว่าไม่เห็นด้วย แต่การดูถูกเหยียดหยาม การด้อยค่าความเป็นคน เหมือนตอนที่เราพูดว่ามีแพลนจะมีลูกกัน ซึ่งก็มีคนมาพูดว่า รูเราน่าจะเป็นสิ่งปฏิกูลหรือเปล่า ซึ่งผมรู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดกับมนุษย์คนหนึ่ง

ก็อยากจะฝากถึงคนที่คอมเมนต์ในโซเชียลว่า อยากให้แสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพ ไม่ผิดที่จะไม่เห็นด้วย แต่ต้องอยู่ภายใต้ความสุภาพ และต้องรู้เสมอว่าบุคคลพึงอยู่ภายใต้กฎหมายอันเท่าเทียมกัน และได้รับการดูแลภายใต้กฎหมายอย่างเสมอภาคกัน เพราะฉะนั้นถ้าอะไรที่เราทำแล้วฝ่าฝืนกฎหมายไปถึงอีกบุคคลหนึ่ง ก็มีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายเข้ามาดูแล ถ้าไม่ชอบก็แค่ปัดผ่านไปแค่นั้นเอง”

อาม เผยว่า “ไม่รู้จักว่าเป็นใคร แต่แอคเคานท์เขาน่าจะเป็นแอคหลุม แต่ก็ไม่รู้ว่าใครปลอมมา เราต้องให้ทางตำรวจเข้ามาช่วยเหลือ และหลังจดทะเบียนสมรสกันเมื่อ 23 ม.ค. คิดว่าทุกคนเข้ามาอวยพรยินดีกับเรานะ แต่พอกระแสออกไปเป็นวงกว้าง และมีข่าวสมรสเท่าเทียมมากขึ้น ก็ทำให้เราเข้าใจว่า มีหลายคนมากในสังคมของเราที่ไม่เข้าใจ LGBTQ+ ยังคิดอยู่ว่าเราไม่ใช่มนุษย์ เราเป็นคนที่แตกต่าง เอาจริงๆ อคติแบบนี้ เราไม่สามารถไปเปลี่ยนเขาได้หรอก เราไม่สามารถไปลบอคติเขาได้ภายในชั่วข้ามคืน และสิ่งที่อยากจะบอกคือกฎหมายมีไว้เพื่อรองรับและซัพพอร์ตทุกๆ ชีวิตมนุษย์ในสังคม

สมรสเท่าเทียมคือกฎหมายที่ทำให้มนุษย์ 2 คน สร้างครอบครัวกันได้อย่างมั่นคง ส่วนหลังจากที่ได้รับข้อความดังกล่าว เอาจริงๆ คือเราต้องทำมาหากิน เวลาไปทำงานเราต้องยิ้มแย้มกับทุกคนอยู่ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าเรากลัวแค่ไหน หวาดระแวงแค่ไหน ส่วนข้อความที่บูลลี่ ด่าทอ ทนายก็ได้แคปไว้หมดแล้ว

เอาจริงๆ ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง คือเราปลอบกันทุกวัน เห็นถึงความเครียดของพี่พอร์ช และเขาก็เห็นความเครียดของอาม เราออกไปข้างนอกบ้านแบบระวัง มันไม่ใช่ชีวิตที่ควรจะเป็น คือมันควรจะมีแต่เรื่องราวที่ดี คนสองคนรักกัน พยายามจะสร้างครอบครัวให้มั่นคง มันกลายเป็นว่าถึงขั้นขู่กันเลยเหรอ เราแค่มีความต่างกัน ซึ่งเรื่องความต่าง เอาจริงมนุษย์ทุกคนต่างกันนะ เพียงแต่ความต่างนี้ เราจะหยิบจับอคติในใจเรา แล้วถึงขั้นต้องไปด่าทอเขา อามว่าเราน่าจะต้องมีขอบเขตซึ่งกันและกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน

ซึ่งเราพยายามทำความเข้าใจกับคอมเมนต์ต่างๆ ที่เขาคอมเมนต์กันมา เราทุกคนเห็นต่างได้ แต่ก็ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน และอยากจะฝากถึงคนที่โดนบูลลี่เหมือนกัน รวบรวมความกล้าออกมา จริงๆ แล้วบางเรื่อง ถ้าเรายอมได้ยอม ไม่เป็นไรคุณไม่ผิด แต่อะไรที่มันเป็นขั้นที่มันเกินไปแล้ว มนุษย์ทุกคนมีบาร์ต่างกัน ถ้ามันถึงจุดที่ไม่ไหวแล้ว เราทุกคนอยู่ในสังคมที่มีกฎหมายเดียวกัน เราสามารถให้กฎหมายช่วยเหลือเราได้ คือเราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเราเองได้หรอก เราโดนแบบนี้ บางทีมันหนัก กฎหมายนี่แหละจะช่วยเราได้”