สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 30 ม.ค. ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า กำลังสั่งการ ผ่านคำสั่งฝ่ายบริหาร ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการก่อสร้าง “ค่ายกักกันขนาดใหญ่” บนพื้นที่ของเรือนจำที่สหรัฐเช่าพื้นที่ไว้ ริมชายฝั่งอ่าวกวนตานาโมในคิวบา เพื่อใช้คุมขัง “อาชญากรลักลอบเข้าเมืองเพื่อก่ออาชญากรรม” ในสหรัฐ ให้ได้ราว 30,000 คน


ทรัมป์ประกาศแผนการดังกล่าว ระหว่างลงนามรับรองกฎหมาย “เลเคน ไรลีย์” ซึ่งตั้งชื่อตามหญิงสาวชาวรัฐจอร์เจีย วัย 22 ปี ซึ่งเสียชีวิตจากการฆาตกรรมโดยผู้อพยพผิดกฎหมาย เมื่อปี 2567 กฎหมายดังกล่าว ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกที่ทรัมป์ลงนามในสมัยที่สอง มีเนื้อหาสำคัญ ให้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิจับกุมบุคคลไม่ได้ถือสัญชาติสหรัฐที่ลักลอบเข้าเมือง แล้วก่ออาชญากรรมบนแผ่นดินสหรัฐ และเนรเทศกลับประเทศที่เป็นภูมิลำเนา โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ศาลสั่ง


ขณะเดียวกัน ทุกรัฐในอเมริกาสามารถฟ้องร้องกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ หากพบว่า ไม่มีการปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจัง


ทั้งนี้ เรือนจำกวนตานาโมเกิดขึ้น หลังเหตุวินาศกรรม 9/11 เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2544 ปัจจุบันเหลือนักโทษถูกคุมขังอยู่ 15 คน จากที่เคยสูงถึงราว 800 คน ท่ามกลางเสียงประณามมาตลอดจากองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในระดับร้ายแรง


ด้านนายพีต เฮกเซธ รมว.กลาโหมสหรัฐ ในฐานะผู้ดูแลเรือนจำกวนตานาโม กล่าวว่า จะไม่มีการควบคุมผู้อพยพผิดกฎหมาย ในบริเวณเดียวกับที่นักโทษดั้งเดิมของเรือนจำกวนตานาโมยังถูกคุมขังอยู่


ขณะที่ประธานาธิบดีมิเกล ดิแอซ-กาเนล ผู้นำคิวบา ประณามรัฐบาลทรัมป์ “โหดเหี้ยมอำมหิต” ส่วนนายบรูโน โรดริเกซ รมว.การต่างประเทศคิวบา กล่าวว่า แผนการนี้ยิ่งตอกย้ำจุดยืนของสหรัฐ ที่แทบไม่เคยเคารพกฎหมายและหลักการสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ.

เครดิตภาพ : AFP