นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ยกระดับการค้าไทย ยืนหนึ่งในเวทีโลก” โดยเน้นถึงความสำคัญของการพลิกโฉมเศรษฐกิจไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก พร้อมชี้ให้เห็นผลงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้เกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงปีที่ผ่านมา ทั้งการเติบโตด้านการส่งออก การลงทุน และการขยายตัวของเศรษฐกิจ

นายพิชัย เปิดเผยว่าจากข้อมูลการเติบโตทางเศรษฐกิจ พบว่าการส่งออกของไทยในเดือนธ.ค.67 ขยายตัวถึง 8.7% และตลอดทั้งปี 67 ขยายตัวถึง 5.4% ขณะที่การลงทุนจากต่างประเทศก็เพิ่มขึ้น มีการลงทุนสูงถึง 1.13 ล้านล้านบาทในปีที่ผ่านมา ซึ่งการลงทุนที่หลั่งไหลเข้ามา และการขยายตัวของการส่งออก เป็นเหมือนปรากฏการณ์ Snowball Effect ที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมตั้งเป้าหมายให้เศรษฐกิจไทยเติบโตเกิน 3% ในปีนี้ และขยับไปสู่ 5% ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ปัญหาหนี้สินและรายได้ของประชาชนยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แม้ภาพรวม GDP ไทยจะเติบโต แต่ที่บางคนรู้สึกว่าเศรษฐกิจยังไม่ดี เพราะหนี้ค้างเดิมสมัยก่อน แต่รัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯแพทองธารกำลังเร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินอย่างจริงจัง หากปัญหาหนี้คลี่คลายลง เศรษฐกิจไทยจะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน

โดยรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ มีนโยบายสำคัญในการเร่งเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) กับหลายประเทศ โดยล่าสุดคือความสำเร็จของ FTA ไทย-เอฟตา ที่ประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์ ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ และลิกเตนสไตน์ ที่สามารถเร่งรัดการเจรจาจนสำเร็จในเวลาเพียง 3 เดือน เป็น FTA ฉบับที่มีความทันสมัยและมีมาตรฐานสูงเป็นการประกาศให้โลกเห็นว่า ประเทศไทยกลับมาอยู่ในแผนที่โลกอีกครั้ง ซึ่ง FTA จะเป็นแต้มต่อสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย และจะเดินหน้าผลักดัน FTA กับประเทศอื่นๆ เช่น สหภาพยุโรป (EU) อิสราเอล ภูฏาน ยูเออี เกาหลีใต้ แคนาดา และอังกฤษ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งนายกฯได้เร่งรัดให้จัดทำ FTA กับอียู 27 ประเทศให้สำเร็จในปีนี้

รมว.พาณิชย์ กล่าวอีกว่าการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่จะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจไทย เช่น การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ PCB Data Center และ AI ซึ่งต่างประเทศให้ความสนใจในการเข้ามาลงทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพด้านพลังงาน มีไฟฟ้าที่มั่นคงและเพียงพอ เป็นจุดเด่นสำคัญที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ มีไฟฟ้าสำรองถึง 16,000 เมกะวัตต์ โดย 29% เป็นพลังงานสะอาด (Green Energy) มาจากสมัยที่ตนเคยเป็นรมว.พลังงาน และประเทศไทยมีความเป็นกลาง ทุกประเทศรักเรา อเมริกาก็รักเรา จีนก็รักเรา นอกจากนั้น รัฐบาลยังมีแผนดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาร่วมพัฒนาด้านดิจิทัล เปิดโอกาสให้คนเก่งจากทั่วโลกที่เป็น Digital Nomad เข้ามาทำงานในประเทศไทย และขอให้คนไทยเร่งพัฒนาศักยภาพด้าน AI เพื่อเป็นโอกาสของการทำงานในอนาคต

ความสำคัญของการพัฒนาภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเป็นจุดแข็งของไทย โดยกระทรวงพาณิชย์จะส่งเสริมสินค้า GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) และพัฒนาสินค้าที่เป็น Thailand Next Level เพิ่มมูลค่าให้สินค้าไทย และสร้าง Thailand Brand เพื่อการันตีคุณภาพสินค้าไทย โดยเฉพาะสินค้า SME ที่มีศักยภาพให้สินค้าเป็นที่ยอมรับในระดับโลก สำหรับการส่งเสริมอาหารไทยจะพลิกโฉม Thai SELECT เป็นตราสัญลักษณ์ที่กระทรวงพาณิชย์ มอบให้กับร้านอาหารไทยให้เทียบชั้นมิชลิน และจะป้องกันปัญหาสินค้าด้อยคุณภาพจากต่างประเทศ

ทั้งนี้นายกฯแพองธาร ได้มอบหมายให้ตนเป็นประธานคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย จับมือกับ 16 หน่วยงานร่วมกันแก้ปัญหาไขปัญหา สามารถลดปัญหาสินค้าด้วยคุณภาพที่ทะลักเข้ามาในประเทศได้ถึง 27% ใน 1 เดือน และเดือนที่ 2 ลดลงถึง 20% การแก้ปัญหานอมินีได้ดำเนินคดีไปแล้ว 747 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 11,000 ล้านบาท โดยแนวโน้มเศรษฐกิจไทยกำลังดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขอให้คนไทยมั่นใจในการทำงานรัฐบาลนายกฯแพทองธาร และกระทรวงพาณิชย์ ที่มุ่งมั่นจะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้เกิดขึ้นต่อเนื่องในอนาคต ทั้งการค้าการ การลงทุน และการขยายตัวของเศรษฐกิจ