ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านค่าฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล พุ่งปรี๊ดเป็นสีแดงเถือกส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนเต็มพื้นที่ และอีกหลายจังหวัดทั่วทุกภาคของประเทศไทยค่าฝุ่นก็พุ่งเป็นสีแดงเช่นเดียวกัน โดยประจวบเหมาะกับจังหวะที่ “นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางไปร่วมประชุม เวิลด์อีโคโนมิค ฟอร์รั่ม ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
จากนั้นก็เกิดวิวาทะขึ้นเมื่อ “เท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้าน ออกมาโพสต์โซเชียล ระบุถึงปัญหาฝุ่นพิษที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพคนไทยในขณะนี้ เรียกร้องนายกรัฐมนตรี ที่กำลังสูดอากาศบริสุทธิ์อยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ให้จริงจังกับปัญหาฝุ่นพิษ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพคนไทย อย่าลอยตัวเหนือปัญหา เพื่อให้คนไทยมี “อากาศ” บริสุทธิ์หายใจ ก่อนที่จะไปหา “โอกาส” จากต่างประเทศ
จนบรรดาลูกหาบพรรคเพื่อไทยดาหน้าออกมาถล่มผู้นำฝ่ายค้านว่าดีแต่พูด ซึ่งไม่ช่วยให้ฝุ่นลด ปัญหาฝุ่น PM2.5 ส่วนหนึ่งเกิดจากสภาพอากาศปิด ฝุ่นระบายออกได้ไม่ดี พร้อมสาธยายถึงแนวทางการทำงานของรัฐบาลในการเร่งแก้ปัญหาฝุ่นพิษที่ดำเนินการมาตลอด
ขณะที่ซีกพรรคประชาชนยังมี “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ที่ปรึกษาประธานคณะก้าวหน้า และ อดีตแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ระหว่างเดินสายหาเสียงช่วยผู้สมัครนายก อบจ. พรรคประชาชนในภาคตะวันออก ออกมาช่วยขย้ำปมการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของรัฐบาล
โดย “พิธา” สอนมวย “นายกฯ อิ๊งค์” ว่า นโยบายแก้ฝุ่นของรัฐบาลช้าไป น้อยไป สายไป คิดว่าคนที่เป็นผู้นำประเทศตอนนี้ ถ้าแก้ปัญหาประเทศง่ายๆ เลย คือ ฝุ่น ไฟ ฝน พอฝุ่นหมด ไฟก็มา พอไฟหมด ก็น้ำท่วมอีก การแก้ปัญหาฝุ่นต้องมีแผนงานมาตั้งแต่ฤดูฝนแล้ว หากดูข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี ระหว่างวันที่ 1-22 ม.ค. ไม่มีปีไหนเลยที่ค่าฝุ่นได้ค่ามาตรฐานเลย เกินมาตรฐานทุกปี และปีที่สูงที่สุดคือ 2564 รองลงมาคือ 2568 ถัดมาคือ 2567 จะเห็นได้ว่าปัญหา PM2.5 ที่เกิดขึ้นทั้งที่ กทม.และทั่วประเทศในช่วงที่มีการเผาอ้อยและข้าว ซึ่งเมื่อเกิดความกดอากาศแน่นอนว่าฝุ่นก็ตามมา พร้อมเย้ยว่าสมัยเป็นฝ่ายค้านด้วยกันเพื่อไทยอภิปรายฝุ่นดุเด็ดเผ็ดมัน แต่พอทำเองกลับแย่ขึ้น
ด้าน “นายกฯ อิ๊งค์” แจงข้ามประเทศสั่ง 6 มาตรการแก้ปัญหาฝุ่นพิษ ซึ่งมาตรการด่วนสู้ฝุ่นเพิ่มเติมนอกจากการปิดโรงเรียน WFH คุมรถบรรทุกเข้า กทม.ชั้นใน การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น คือสั่งกระทรวงคมนาคมทุ่มงบ 140 ล้านบาท ให้ประชาชนขึ้นรถไฟฟ้า และขสมก.ฟรี 7 วัน ตั้งแต่ 25-31 ม.ค.นี้ เพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวของประชาชน
แต่ซีกฝ่ายค้านยังมองว่าแนวทางนี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้น “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” รองหัวหน้าพรรคประชาชน ระบุว่า รัฐบาลควรแสดงความจริงใจในการแก้ปัญหามากกว่านี้ อย่าตระหนี่ถี่เหนียวในเรื่องฝุ่น PM 2.5 หากจำเป็นก็ต้องดึงงบกลางมาเพิ่ม ที่สำคัญควรมีการเก็บค่าธรรมเนียมกับโรงงานน้ำตาลซื้ออ้อยไฟไหม้ให้แพงขึ้น เพื่อจูงใจให้เกษตรกรอยากขายอ้อยสด ซึ่งพรรคประชาชนจะนำเรื่องปัญหาฝุ่นมาซักฟอกรัฐบาลด้วย
สุดท้ายปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ยังคงเป็นเรื่องสำคัญที่ตามหลอกหลอนทุกรัฐบาล คนไทยยังต้องรอต่อไปว่าจะมีรัฐบาลไหนที่ป้องกันและแก้ปัญหาได้เด็ดขาดทันท่วงที ไม่ใช่แค่คอยลมคอยฝนมาพัดพาเอาฝุ่นออกไปเท่านั้น.