เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 25 ม.ค. 68 ที่ ทำการเพจสายไหมต้องรอด เขตสายไหม กทม. ผู้เสียหายสาวร้อง โดยสารรถแท็กซี่ เจอคนขับมีอาการผิดปกติ ขับพุ่งชนท้ายรถเมล์จนบาดเจ็บสาหัส ไร้การดูแล หลังรักษาตัวไปกว่า 1.9 ล้านบาท ซ้ำคดีไม่มีความคืบหน้า

นายเอกภพ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 67 เวลา 08.30 น. ผู้เสียหายเรียกรถจากซอยสุขุมวิท 39 เพื่อไปเยี่ยมครอบครัวที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อขับมาถึงบริเวณแยกยมราชฝั่งขาออก คนขับแท็กซี่ที่ขับมามีอาการเหมือนคนหลอนยา ขับรถแทรกซ้ายแทรกขวา และพูดว่าผู้โดยสารคนก่อนหน้านี้ไม่จ่ายค่าโดยสารและโดนโกง สุดท้ายรถเกิดอุบัติเหตุชนกับรถเมล์ ซึ่งจอดติดไฟแดง หลังเกิดเหตุผู้หญิงบาดเจ็บสาหัส จะต้องเรียกรถแท็กซี่เพื่อไปโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ด้วยอาการแขนหักผิดรูป แพทย์เอกซเรย์กะโหลกศีรษะแตก กระดูกใบหน้าแตก ตามตัวมีรอยแผลและแขนหักผิดรูป หลังเกิดเหตุได้นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 21 วัน และกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ค่ารักษาพยาบาล 1.9 ล้านบาท สิ่งที่ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมคือ วันนี้ยังไม่ได้รับการชดเชย และอยากทราบว่า ตัวผู้ขับขี่รถแท็กซี่ ตำรวจได้ดำเนินการอย่างไรบ้าง

นายเอกภพ กล่าวว่า ผู้เสียหายอยากให้กรมการขนส่งทางบก ออกมาตรการในการตรวจสารเสพติด สุขภาพจิต และประวัติอาชญากรรมของผู้ขับขี่รถสาธารณะเป็นประจำ ควรมีมาตรการอย่างรัดกุม เพราะผู้เสียหายกังวลไม่อยากให้คนขับรถแท็กซี่ที่มีพฤติกรรมลักษณะนี้ หากยังขับรถอยู่อาจไปเกิดเหตุกับคนอื่นอีกได้

ด้าน น ส.เอ อายุ 46 ปี อาชีพพนักงานธนาคารแห่งหนึ่ง เล่าว่า วันเกิดเหตุได้เรียกรถจากสุขุมวิท 39 เพื่อไปโรงพยาบาลศิริราช เมื่อขึ้นรถไป คนขับแท็กซี่บ่นว่าโดนผู้โดยสารโกงไม่จ่ายรถค่าแท็กซี่ บอกจะไปกดเงินให้แล้วก็หายไปเลย จากนั้นก็ได้มีการพูดคุยกันบ้าง แต่ก็ไม่ทราบว่าเขาคิดหรือเครียดอะไร เมื่อไปถึงใกล้ไฟแดง ซึ่งเป็นจุดที่ขับรถแทรกไม่ได้ ก็ได้ขับไปชนกับรถประจำทาง และไปชนเกาะกลาง ก่อนจะไปพุ่งชนกับรถเมล์ที่ติดไฟแดง ส่วนตัวเองได้รับบาดเจ็บ กรามหัก กระดูกแตกละเอียด เลือดออกภายใน ซึ่งหลังจากนี้ต้องรอให้กระดูกข้างในเข้าที่ ฟันไม่สามารถสบกันได้ ยังต้องได้รับการกายภาพอย่างต่อเนื่อง ส่วนการแจ้งความ ทางครอบครัวได้เป็นผู้ไปแจ้งความหลังเกิดเหตุที่ สน.พญาไท เมื่อเวลา 10.30 น. ของวันที่ 13 ต.ค. 67 แต่ไม่ทราบรายละเอียดว่ามีพนักงานสอบสวนไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ และได้เรียกตัวคนขับรถแท็กซี่มาที่ สน. หรือได้ตรวจสารเสพติดและแอลกอฮอล์ของคนขับรถแท็กซี่หรือไม่ ส่วนเรื่องการรักษาพยาบาลได้ใช้สิทธิประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ และประกันของที่ทำงานที่มีอยู่ แต่ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นหลังจากออกจากโรงพยาบาลก็ยังมีอย่างต่อเนื่อง เพราะต้องรอให้แผลภายในสมานกันก่อน จึงจะทำการรักษาต่อได้

น.ส.เอ เปิดเผยอีกว่า ส่วนคนขับแท็กซี่มีประวัติในพื้นที่ สน.โคกคราม เกี่ยวกับการเป็นตัวการลักทรัพย์ เมื่อกลางปี 67 ทางประกันเป็นผู้ติดต่อประสานกับตำรวจให้ว่า ผู้เสียหายได้ออกจากโรงพยาบาล ทางตำรวจได้แจ้งผ่านน้องที่รู้จักกันว่า ตำรวจให้นัดคนขับรถแท็กซี่ และคนขับรถเมล์มาให้ข้อมูลพร้อมกันด้วย และยังบอกอีกว่าไปสืบมาหรือยังว่าบ้านอยู่ที่ไหน

ด้านญาติของผู้เสียหาย เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุได้ไปติดต่อตำรวจที่ สน.พญาไท เพื่อบอกให้ตำรวจไปสอบสวนผู้เสียหายที่โรงพยาบาล แต่ตำรวจกลับบอกว่าไม่มีหรอกที่จะให้ไปสอบสวนที่เตียง ก็มีแต่ในละคร หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนบ่ายเบี่ยง ไม่เจอไม่รับสาย แม้จะโทรฯ ไปเบอร์โรงพักซึ่งเป็นเบอร์ 02 ก็ติดต่อไม่ได้ เมื่อไปที่สถานีตำรวจหลายครั้ง ก็ไม่พบไม่เจอตัวเจ้าของคดี และทราบว่าในวันเกิดเหตุ เจ้าของอู่รถแท็กซี่ได้ไปในที่เกิดเหตุด้วย แต่หลังจากที่พยายามติดต่อไป กลับบอกว่ารถคันที่เกิดอุบัติเหตุได้ขายไปแล้ว

น.ส.เอ ยังกังวลเรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสารที่จะต้องใช้รถสาธารณะ เพราะไม่รู้ว่ารถคันที่เลือกใช้บริการจะมีความปลอดภัยหรือไม่ เนื่องจากคนขับรถแท็กซี่คันเกิดเหตุ มีประวัติถูกแจ้งความดำเนินคดี ทำไมจึงไม่มีการคัดกรองให้ดี ต้องให้ผู้โดยสารมาลุ้นว่าจะต้องเจอกับอะไร และอยากเรียกร้อง เพราะที่ผ่านมา คนขับรถแท็กซี่ไม่เคยติดต่อประสานงานเข้ามาเลย รวมทั้งพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ก็ไม่ได้ประสานงานเข้ามาเช่นเดียวกัน ขณะนี้ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลเป็นเงิน 1.9 ล้านบาท อีกทั้งยังต้องมีค่ารักษาตัว กายภาพในอนาคต ซึ่งตัวเองต้องเป็นคนรับผิดชอบเองทั้งหมด.