นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่หาเสียงช่วยนายวิวัฒน์ชัย โหตระไวศยะ ผู้สมัครนายก อบจ.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย หาเสียง ที่ จ.ศรีสะเกษ เมื่อ 24 ม.ค. 68 โดยได้เดินทางไปยังหอประชุมสโมสรฟุตบอลศรีสะเกษ พบปะพูดคุยกับนักกีฬา เยาวชน และผู้สนใจกีฬาฟุตบอล “เล่าประสบการณ์จากแมนฯ ซิตี ถึงศรีสะเกษ”
อดีตนายกรัฐมนตรี เล่าว่า นายทักษิณ เล่าว่า เคยเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก เล่นกีฬาทุกอย่าง พอตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นมา ก็เปิดสปีดซอคเกอร์แบบประเทศบราซิล ส่งเสริมเด็กเล่นฟุตบอล

“ตอนเป็นนายกฯ ก็อยากซื้อลิเวอร์พูล แต่มีคนมาคัดค้านบอกว่าจะเป็นการพนัน วันนั้นลิเวอร์พูลขายไม่กี่ตังค์ ถ้าเอาเงินกองสลากไปซื้อก็ได้ ตอนนี้ใครจะซื้อต้องมีเงินเป็นแสนล้าน พอเลิกจากลิเวอร์พูล มีเพื่อนเป็นเจ้าของฟูแล่ม ก็เกือบจะซื้อ เพราะจ่ายแพง ก็เลยถามว่าส่งนักฟุตบอลไปเข้าอคาเดมีได้ไหม เลยได้ส่งเด็กไทยไปเรียนในอคาเดมี และก็เลยซื้อแมนฯ ซิตี แก้เหงา และมีเด็กบราซิลอยู่หลายคน ในทีมมีการแข่งขันมิตรภาพระหว่างบราซิลและอังกฤษ

“ผมอยู่กับฟุตบอลมาพอสมควร พบว่าการมีอคาเดมีเป็นการสร้างเด็กๆ ต่างชาติมองว่าการเรียนไม่ใช่เรื่องหลัก กีฬาเป็นเรื่องหลัก ระหว่างความรู้กับหาเงิน เอาหาเงินก่อน นี่คือวิธีคิดของชาวต่างชาติ แต่ในประเทศไทย พ่อแม่เน้นเรื่องปริญญา ความรู้ ความชำนาญเป็นหัวใจสำคัญในยุคนี้มากกว่า แต่ความรู้ไม่ใช่แค่ในห้องเรียน แต่เรียนตรงไหนก็ได้”

นายทักษิณ กล่าวด้วยว่า ตนไปซื้อแมนฯ ซิตี ทุกคนถามว่าทำไมถึงซื้อ และตอนที่ถูกปฏิวัติลี้ภัยไปอยู่ลอนดอนวันแรก นายลีกวนยู อดีตนายกฯ สิงคโปร์ ซึ่งชอบพอกันกับตนเป็นพิเศษ และส่งทูตสิงคโปร์ไปหา บอกว่าทักษิณต้องอยู่เงียบๆ แล้วจะได้กลับบ้าน ตนเองก็นั่งคิด พี่ๆ ที่โดนปฏิวัติก็เงียบทุกคน ไม่เห็นได้กลับบ้านสักคน
“จึงคิดว่าจะทำอย่างไรดี ถ้าเราไม่เชื่อฟังเขา มันก็ดูขัดศรัทธา จึงบอกว่าเอาล่ะวะ เราไม่ยุ่งการเมืองมาเอาสังคมดีกว่า จึงซื้อทีมฟุตบอลดีกว่า ตอนแรกจะซื้อทีมวูล์ฟแฮมป์ตัน แต่วันนั้นเจ้าของไปลงเรือไม่กลับมาสักที ฤดูกาลจะมาแล้ว วันนั้นวูล์ฟ อยู่ในแชมเปี้ยนชิพ มีพรรคพวกมาบอกว่าแมนฯ ซิตี จะขาย ผมไม่เคยได้ยิน ได้ยินแต่แมนฯ ยูฯ จึงไปศึกษาดู แมนฯ ยูฯ แพงมาก ฉะนั้นแฟนของแมนฯ ซิตี มีมากกว่าแมนฯ ยูฯ แต่ทั่วโลก แมนฯ ยูฯ มากกว่าเยอะ”