“กะหล่ำปลี” เป็นผักยอดนิยมที่หลายครอบครัวชื่นชอบ มีรสชาติอร่อย และมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถรับประทานผักชนิดนี้ได้

กะหล่ำปลีมีสารอาหารหลายชนิด เช่น วิตามิน C, E, K, โฟเลต, แมกนีเซียม, แมงกานีส, แคโรทีนอยด์บางชนิด (ลูทีน), ซีแซนทีน, เบต้า -แคโรทีน, เส้นใย และสารต้านอนุมูลอิสระ

ประโยชน์ต่อสุขภาพของกะหล่ำปลีมีดังนี้

ต้านการอักเสบ

สารแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติที่มีอยู่ในกะหล่ำปลี ช่วยลดการอักเสบของร่างกาย

เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

วิตามินซี หรือที่เรียกว่า กรดแอสคอร์บิก ช่วยสร้างคอลลาเจน และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

ปรับปรุงระบบย่อยอาหาร

กะหล่ำปลีประกอบด้วยไฟโตสเตอรอล (สเตอรอลจากพืช) และเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำจำนวนมาก ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดี มีการขับถ่ายเป็นประจำ

ปกป้องหัวใจ

แอนโทไซยานินที่พบในกะหล่ำปลี ไม่เพียงแต่ช่วยต่อสู้กับอาการอักเสบเท่านั้น แต่ยังลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจด้วย

ป้องกันการเกิดมะเร็ง

กะหล่ำปลีมีสารสลูโคซิโนเลต ซัลโฟราเฟน และแอนโทไซยานิน ซึ่งช่วยป้องกันมะเร็ง และชะลอการเพิ่มจำนวนของเซลล์มะเร็ง

แต่ไม่ว่าจะมีประโยชน์มากมายขนาดไหน แต่ก็มีคน 4 กลุ่มที่ไม่ควรกินมัน

บทความจากเว็บไซต์ Medlatec General Hospital เผยถึง 4 กลุ่มคนที่ไม่ควรกินกะหล่ำปลี

  1. ผู้ที่มีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย หรืออาการลำไส้แปรปรวน ไม่ควรรับประทานกะหล่ำปลี เพราะกะหล่ำปลีจะทำให้เกิดก๊าซในทางเดินอาหารได้ หากรับประทานขณะท้องอืด อาการของโรคจะรุนแรงมากขึ้น
  2. ผู้ที่มีภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ กะหล่ำปลีมีสารกอยทริน ผู้ที่มีความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ไม่ควรรับประทาน เพราะจะทำให้ต่อมไทรอยด์หรือคอพอกบวมได้
  3. ผู้ที่มีภาวะไตวายรุนแรง หรือจำเป็นต้องฟอกไต
  4. ผู้เป็นภูมิแพ้ ไม่ควรรับประทานกะหล่ำปลีที่ดองไว้ เพราะจะทำให้โรคภูมิแพ้รุนแรงมากขึ้น กะหล่ำปลีดองยังมีฮีสตามีน ทำให้เกิดอาการคัน น้ำตาและน้ำมูกไหล หรืออาจทำให้เกิดอาการคัดจมูก.

ที่มาและภาพ : soha