หลังจาก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หวนคืนตำแหน่งอีกครั้ง ประเทศที่ถูกประกาศเล่นงานรอบแรก ได้แก่ จีน เม็กซิโก แคนาดาและรวมทั้งเตรียมเล่นงานกับอีกหลายประเทศรวมทั้งอาเซียน ถึงแม้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสอยู่ในช่วงการพักรบแลกเปลี่ยนตัวประกันและเชลยเป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ มีผลตั้งแต่ 19 ม.ค. 68 แต่สงครามรัสเซีย-ยูเครนอาจยังยืดเยื้อออกไปไม่น้อยกว่าครึ่งปี

สงครามการค้าของทรัมป์ตามมาด้วยมาตรการกำแพงภาษี (Tariff Wall) และ มาตรการกีดกันทางการค้าในรูปแบบต่างๆ ประเทศที่ตกเป็นเป้าหมายสำคัญคือประเทศจีนอาจถูกกำแพงภาษีสูงถึง 60% ขณะที่ประเทศอื่นๆ ที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐ อาจถูกเช็กบิลภาษีนำเข้า 10–20% ทั้งหมดเป็นความท้าทายของประเทศไทยทั้งระดับภาคนโยบายและภาคเอกชนรวมถึงผู้ประกอบการตลอดจน SMEs ต้องให้ความสำคัญและตระหนักถึงผลกระทบที่จะตามมาโดยต้องนำปัจจัยเหล่านี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ธุรกิจและบริหารความเสี่ยงตลอดจนประเมินผลกระทบซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามให้สอดคล้องกับบริบทการค้าที่เปลี่ยนไป

ดร.ธนิต  โสรัตน์ ประธานกรรมการบริษัทในเครือวี-เซิร์ฟ กรุ๊ป ได้วิเคราะห์ในเรื่องดังกล่าวว่า ก่อนอื่นต้องเข้าใจความสำคัญของปัญหา เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์มุ่งเล่นงานประเทศจีนเป็นสำคัญโดยทั้งสองประเทศเป็นลูกค้าส่งออกหลักของไทยสัดส่วนการส่งออกของไทยไปสหรัฐอเมริกาอยู่ในอันดับแรกสัดส่วนร้อยละ 18.24 เพิ่มจากปีก่อนหน้านั้นสัดส่วนร้อยละ 16.81 มูลค่าประมาณ 54,870.4 ล้านดอลลาร์ ซึ่งไทยได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐ ประมาณ 35,222.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยได้เปรียบดุลการค้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกไปจีน (ไม่รวมฮ่องกง) เป็นลูกค้าส่งออกลำดับที่สอง สัดส่วน 11.69% ลดลงกว่าปีก่อนหน้าเล็กน้อยมูลค่าประมาณ 35,170.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยมูลค่าลดลงมาอย่างต่อเนื่องแต่ด้านการนำเข้ามูลค่า 80,053.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีที่ผ่านมาอัตราการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 12.38 โดยไทยขาดดุลการค้ากับจีนประมาณ 45,002.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการขาดทุนต่อเนื่องหลายทศวรรษ ขณะเดียวกันจีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญของประเทศต่างๆ ในอาเซียนซึ่งเป็นคู่ค้าส่งออกสำคัญของไทย

จากบริบทที่กล่าวผลกระทบจากกำแพงภาษีหรือแบนสินค้าจีนของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ จึงส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรงทั้งผู้ส่งออกตลอดจนภาคการผลิต-ภาคเกษตรกรรมและภาคบริการที่อยู่ในโซ่อุปทานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บริบทขึ้นอยู่กับว่าธุรกิจนั้นๆ อยู่ตรงส่วนไหนของโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกสินค้าไปสหรัฐอเมริกาและจีน คำถามคือทำไมต้องเป็นจีนเนื่องจากจีนเป็นประเทศส่งออกสินค้าไปสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับที่หนึ่งและสหรัฐอเมริกาเสียเปรียบดุลการค้ากับจีนอย่างมหาศาล หากมีการตั้งกำแพงภาษีสูงย่อมกระทบกับการส่งออกของจีนอาจลดลงมากกว่ากึ่งหนึ่งหรือหากเล่นเต็มเพดานร้อยละ 60 อาจกระทบการส่งออกของจีนไปสหรัฐอเมริกาถึงร้อยละ 90 ผลที่ตามมาอาจกระทบการส่งออกของไทยที่ไปประเทศจีนทั้งเชิงปริมาณและมูลค่า

นอกจากนี้ภาคอุตสาหกรรมของจีนอยู่ในภาวะ “Over Supply” มาอยู่ก่อนหน้านั้น เมื่อสินค้าถูกแบนไปตลาดสหรัฐไม่ได้ สินค้าจำนวนมากในราคาต่ำกว่าทุนจะไหลกลับเข้ามาทุบตลาดภายในประเทศต่างๆ ของอาเซียนรวมทั้งประเทศไทยกระทบต่อภาคการผลิตและตลาดแรงงาน อีกทั้งการสวมสิทธิสินค้านำเข้าจากจีนแต่แปลงร่างเป็น Made in Thailand ส่งไปสหรัฐ อาจโดนมาตรการตอบโต้แบนสินค้าไทย

ประเด็นที่ไม่ควรมองข้ามคือการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาจีนยกระดับการลงทุนในประเทศไทยโดยวางบริบทเป็นแหล่งการลงทุนนอกประเทศเป็นอันดับต้นๆ โดยในปีที่ผ่านมานักลงทุนจีน และฮ่องกงมีการขอ BOI สัดส่วนรวมกันสูงถึงร้อยละ 30.86 ยังไม่รวมบริษัทจีนที่ปิดความเสี่ยงจากมาตรการทรัมป์จดทะเบียนบริษัทในสิงคโปร์และมาขอ BOI เพื่อลงทุนในประเทศไทย

ที่น่าสนใจและผิดปกติคือสัดส่วนการลงทุนของสิงคโปร์ในปีที่ผ่านมาสูงถึงร้อยละ 43 ซึ่งไม่มีข้อมูลว่าเป็นธุรกิจของจีนมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ดีผู้บริหารธุรกิจด้านอินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนต์ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก  หรือ EEC ระบุว่านิคมอุตสาหกรรมที่ขายที่ดินให้กับนักลงทุน 4-5 พันไร่ ส่วนใหญ่เป็นบริษัทสัญชาติจีนกว่าร้อยละ 70-80 เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ซัพพลายชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทต่างๆ

โดยเฉพาะประเมินว่าช่วงหลังทรัมป์เข้ามาดำรงตำแหน่ง นักลงทุนจีนจะเพิ่มอีกมากแต่การลงทุนส่วนใหญ่มาพร้อมกับเทคโนโลยี ปัจจุบันรอบนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ในพื้นที่มีคอมมูนิตี้นักลงทุนจีนและครอบครัวจีนจำนวนมาก ผลข้างเคียงทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นที่ระบุข้างต้นเป็นคำกล่าวของผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งในพื้นที่ EEC

“Trump Disrupt” ด้านผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น

1. อุตสาหกรรมส่งออก หากสหรัฐอเมริกามีการขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจีนอัตราร้อยละ 60 บางประเภทอาจปรับสูงขึ้นกว่านี้ สำหรับประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าอาจขึ้นภาษีนำเข้าร้อยละ 10–20 ผู้ประกอบการส่งออกส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบเป็นอันดับต้นๆ มีการประเมินว่าคลัสเตอร์อุตสาหกรรมส่งออก 25–29 คลัสเตอร์จะได้รับผลกระทบ เช่น คอมพิวเตอร์ ดาต้าโปรเซสซิ่ง อิเล็กทริกทรานฟอเมอร์ อุปกรณ์โทรศัพท์ อุปกรณ์โซลาร์เซลล์ วงจรอิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ ยางรถยนต์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนอากาศยาน เครื่องยนต์สันดาป อัญมณี ผลิตภัณฑ์จากไม้ สินค้าเกษตรแปรรูป ปลาทูน่าบรรจุกระป๋อง ฯลฯ

2. อุตสาหกรรมผู้รับจ้างผลิตสินค้า หรือ OEM ที่ส่งออกไปสหรัฐ เป็นกลุ่มที่ต้องติดตามใกล้ชิดเป็นอุตสาหกรรมรับจ้างผลิตตามคำสั่งของผู้ซื้อไม่มีแบรนด์ของตัวเองแต่ใช้แบรนด์ของผู้ที่จ้างให้ผลิต อุตสาหกรรมประเภทนี้มีความอ่อนไหวโอกาสถูกดิสรัปสูงหากเห็นว่าไทยมีโอกาสถูกกำแพงภาษีอาจเปลี่ยนไปให้ประเทศอื่นซึ่งมีความเสี่ยงต่ำกว่าเป็นผู้ผลิตแทน สินค้าส่งออกของไทยโดยเฉพาะที่ไปสหรัฐอเมริกาส่วนใหญ่ไม่มีแบรนด์เป็นอุตสาหกรรมรับจ้างผลิตจำเป็นที่จะต้องมีการบริหารความเสี่ยงรับมือกับมาตรการของทรัมป์

3. ธุรกิจที่อยู่ในโซ่อุปทานส่งออก เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการผลิต ภาคเกษตรกรรม-ประมง-ปศุสัตว์ ตลอดจนภาคบริการโดยเฉพาะธุรกิจโลจิสติกส์ ถึงจะไม่ใช่ผู้ส่งออกโดยตรงแต่ทำธุรกิจกับผู้ส่งออกซึ่งลูกค้าหลักคือสหรัฐอเมริกาและอยู่ในคลัสเตอร์ที่มีโอกาสถูกมาตรการกำแพงภาษีได้รับผลกระทบแต่จะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการปรับตัวของธุรกิจนั้นๆ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบคือ SMEs ที่ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาอาจถึงขั้นปิดกิจการ

4. ผลกระทบสินค้าราคาถูกเข้ามาแย่งตลาดภายในประเทศ ธุรกิจในประเทศทั้งภาคการผลิตและค้าส่ง-ค้าปลีกจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากสินค้าราคาต่ำกว่าทุนจากจีนที่เข้าสหรัฐอเมริกาไม่ได้จะไหลเข้ามาแย่งตลาดทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ ปัจจุบันสินค้าราคาต่ำจากจีนเข้ามาแย่งตลาดภายในและนักธุรกิจจีนแห่เข้ามาเปิดร้านค้า-ร้านอาหาร เป็นตัวแทนขายรวมถึงล้งประเภทต่างๆ ทั้งถูกกฎหมายและจีนสีเทา จากมาตรการของทรัมป์จะทำให้กลุ่มทุนจีนเหล่านี้เข้ามาแย่งอาชีพคนไทยมากขึ้น

5. การสวมสิทธิ “Made in Thailand” แนวโน้มการลงทุนจากจีนมีการขยายตัวอย่างก้าวกระโดดทั้งในปีที่ผ่านมาและในปีนี้ ประเด็นที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือการสวมสิทธิสินค้าจีนเป็นสินค้าไทยตลอดสัดส่วนการใช้สินค้าในประเทศหรือ “Local Content” ที่มีการนำเข้าสินค้าสำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูปไม่ได้ผลิตในประเทศไทย สินค้าเหล่านี้เมื่อส่งออกไปสหรัฐ และพบว่ามีการสวมสิทธิอาจกระทบทำให้ประเทศไทยถูกแบนการนำเข้า

จากที่กล่าวข้างต้นอาจมองในเชิงลบ ในทางบวกจากการระดมความคิดเห็นของผู้บริหารบริษัทส่งออกชั้นนำรวมทั้งนักวิชาการและอดีตทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ทางประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เป็นนักธุรกิจและนักการเมืองที่ชาญฉลาดเข้าใจถึงปัญหา หากมีการใช้มาตรการตามที่หาเสียงอาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจกับสหรัฐอเมริกาอาจเลือกไม่ทำตามที่หาเสียง เช่น ไม่มีแหล่งผลิตในประเทศ ตลอดจน นโยบาย “Reshoring Investment” คือ การดึงการลงทุนของบริษัทสหรัฐอเมริกาในต่างประเทศกลับประเทศ โดยใช้กลไกภาษีในการจูงใจนักลงทุนด้วยการลดอัตราภาษีนิติบุคคลจากร้อยละ 21 เหลือร้อยละ 15 และลดต้นทุนการผลิตด้วยการขุดเจาะน้ำมันในประเทศเพื่อลดต้นทุนพลังงานแต่มาตรการนี้อาจไม่เป็นผลเพราะลงทุนไปแล้วคงเลิกไม่ได้อีกทั้งต้นทุนค่าแรงในสหรัฐอเมริกาก็สูงกว่าไทย

นอกจากนี้ มาตรการ “Tariff Wall” เพิ่มอัตราภาษีนำเข้าประเทศจีนและประเทศอื่นๆ จะทำให้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ พุ่งสูงและทำให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นตาม มีการประเมินว่าโอกาสการตั้งกำแพงภาษีกับจีนร้อยละ 60–100 และประเทศอื่นซึ่งได้ดุลการค้าในอัตราร้อยละ 10–20 อาจไม่ได้ทำแบบเหวี่ยงแหแต่จะเจาะจงเฉพาะคลัสเตอร์สินค้านำเข้าที่มีสัดส่วนสูงหรือได้เปรียบดุลการค้า มีการประเมินว่าโอกาสที่ ปธน.ทรัมป์ จะปรับภาษีตามที่หาเสียงความเป็นไปได้มีแค่ร้อยละ 30 เห็นได้จากการที่มีการตั้งคณะกรรมการมีการพิจารณาทบทวนแนวทางการใช้มาตรการนี้และการออกคำสั่ง (Executive Order) ในช่วงแรกไม่มีการแบนสินค้าจีน อีกทั้งมีการชะลอการแบน “TikTok” ซึ่งเจ้าของเป็นสัญชาติจีนออกไป 75 วัน เพื่อกดดันให้ขายหุ้นให้กับนักลงทุนสหรัฐ สัดส่วนครึ่งหนึ่ง

สภาวะภาพรวมหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รับตำแหน่งช่วง 3-4 วันแรก ราคาหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 1.24 อัตราแลกเปลี่ยนเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่ามากที่สุดที่อัตรา 1.0433 USD/EU เงินบาทของไทยทำสถิติกลับมาแข็งค่าสูงสุดในรอบ 2 เดือน (อัตรา 33.942 บาท/USD) ราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์ก WTI ปรับตัวลดลงร้อยละ 5.3 (23 ม.ค. 68 ราคา 75.27 USD/บาร์เรล) แสดงให้เห็นว่าการเข้ามาของทรัมป์อาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว

โดยนักลงทุนไปลงทุนในตลาดทองคำซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ ส่งผลทำให้ราคาทองคำแท่งตลาดโลก (23 ม.ค. 68) ปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ที่ 2,751 USD/OZ หรือสูงขึ้นร้อยละ 2.5 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มีการประเมินมาตรการทรัมป์หากนำมาใช้จริงจะกระทบเศรษฐกิจโลกขยายตัวจากร้อยละ 3.2 เหลือร้อยละ 2.4 ภาพรวม GDP ของโลกและของไทยจะยังไม่หดตัวแต่ขยายตัวในอัตราที่ต่ำ

ประเด็นสำคัญมาตรการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจทำให้มีผู้ได้รับประโยชน์ ซึ่งคงมีส่วนน้อย เช่น การขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมและการหลั่งไหลเข้ามาของนักขุดทองชาวจีนจะสูงขึ้นทำให้มีคอมมูนิตี้จีนขยายตัว เจ้าของอาคารหรือคอนโดฯที่ให้คนจีนเช่าได้รับประโยชน์ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการเอกชนโดยเฉพาะ SMEs จะต้องตระหนักถึงผลกระทบที่จะตามมาโดยมีการบริหารความเสี่ยงและติดตามอย่างใกล้ชิด