วันที่ 23 ม.ค. เฟซบุ๊ก “Nicharuk Bansila” โพสต์เตือนภัยคนชอบกินชานมเป็นประจำ อาจส่งผลให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดี หลังมีคนไข้มาผ่าตัดพบนิ่วในถุงน้ำดีมากถึง 380 เม็ด โดยระบุข้อความว่า
“บอกคนไข้ให้ลองนับดูว่าได้กี่เม็ด>>ก้อนนิ่วในถุงน้ำดี คนไข้ไปนั่งนับมาจริงๆ 380 เม็ดที่อยู่ในถุงน้ำดี เลยลองถามเมนูโปรดที่ชอบกินคืออะไร =>>ชาไทย วันละ 1-2 แก้ว แล้วก็อาหารทอด มัน ผัด กินทุกวันเลยค่ะ”
หลังโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ไป ก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก อาทิ
– นิ่วในถุงน้ำดี จะปวดจุกที่ท้องครับ แต่ก่อนจะจุกจะมีอาการแน่นเหมือนอาหารไม่ย่อยและอาการคล้ายกรดไหลย้อน ผมเคยปวดมาปีกว่า จนไป รพ.ศิริราชจนได้รู้ว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี ตอนนี้ผ่าออกแล้วทั้งถุง
– ตอนนี้หนูมีอาการแสบกลางอก ไม่จุก แต่แยกไม่ออก ว่าเป็นกรดไหลย้อนรึเปล่า
– “เค้าเคยผ่าตัดมาแล้ว 1 ครั้ง มี 11 เม็ด เม็ดเท่าเหรียญบาท ปวดท้องทรมานมากตอนเป็น”
โดยเว็บไซต์รพ.นครธน ได้อธิบายว่า
ใครบ้างที่มีความเสี่ยงเป็น “นิ่วในถุงน้ำดี” ?
นิ่วถุงน้ำดีมักพบในคนที่มี 4 ลักษณะหรือที่เราเรียกว่า 4F คือ Forty, Fertile, Fatty และ Female หรือแปลได้ว่า มักพบในผู้หญิง รูปร่างท้วมอายุ ประมาณ 40 ปี โดยเฉพาะผู้ที่มีบุตรหลายคน ซึ่งบางคนบังเอิญตรวจพบแม้ไม่ได้มีอาการผิดปกติใดๆ
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงที่มีลักษณะดังกล่าว มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการของโรคนิ่วในถุงน้ำดี 1-2% ต่อปี และในปัจจุบันเราพบว่าคนเป็นนิ่วถุงน้ำดีมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยนิ่วในถุงน้ำดีมี 2 ชนิดหลักๆ ได้แก่
- ชนิดที่เกิดจากคอเลสเตอรอล (Cholesterol stones) เป็นชนิดที่พบได้บ่อยประมาณ 80% ของนิ่วในถุงน้ำดีทั้งหมด มีลักษณะเป็นก้อนสีขาว เหลือง หรือเขียว เกิดจากการมีคอเลสเตอรอลเพิ่มมากขึ้นในน้ำดี หรือการบีบตัวของกล้ามเนื้อในถุงน้ำดีมีสมรรถภาพไม่เพียงพอ จึงไม่สามารถบีบสารออกได้หมด
- ชนิดที่เกิดจากเม็ดสีหรือบิลิรูบิน (Pigment stones) ก้อนนิ่วชนิดนี้มีขนาดเล็กกว่าและมีสีคล้ำกว่าชนิดที่เกิดจากคอเลสเตอรอล มักพบในผู้ป่วยโรคตับแข็งหรือผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของเลือด เช่น โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย โรคโลหิตจางจากการขาดเอนไซม์ G6PD
อาการของโรคนิ่วในถุงน้ำดี
อาการของนิ่วในถุงน้ำดีนั้น โดยส่วนใหญ่ ช่วงแรกมักไม่เกิดอาการ และอาจจะมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น ปวดจุกแน่นท้อง ใต้ชายโครงขวา หรือลิ้นปี่ ท้องอืด อิ่มง่าย โดยเฉพาะกินอาหารมันๆ หลังอาหารมื้อใหญ่ แต่ถ้าก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่ขึ้น มีการอักเสบของถุงน้ำดี จะทำให้มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงบริเวณช่องท้องส่วนบน หรือด้านขวา มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน บางคนมีอาการปวดท้องแบบผิดปกติ นาน 2-3 ชั่วโมง โดยปวดร้าวไปสะบักขวาด้านหลังส่วนล่าง และถ้านิ่วตกลงไปอุดท่อน้ำดีใหญ่จะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม
การตรวจวินิจฉัยและการรักษา
การตรวจวินิจฉัยโรคนิ่วในถุงน้ำดี สามารถทำได้โดยการทำอัลตราซาวด์ช่องท้องส่วนบน (Ultrasound Upper Abdomen) เพื่อตรวจดูว่านิ่วในถุงน้ำดีหรือไม่ ซึ่งทำได้ง่าย ไม่เจ็บ ใช้เวลาไม่นาน และทราบผลได้ทันที โดยก่อนมาตรวจนั้นต้องเตรียมตัวโดยการงดอาหาร และเครื่องดื่มที่มีไขมันทุกชนิด ประมาณ 4-6 ชั่วโมงก่อนตรวจ แต่สามารถดื่มน้ำเปล่าได้ เพราะหากรับประทานอาหารก่อนมาตรวจจะทำให้ถุงน้ำดีหดตัว ส่งผลให้เห็นถุงน้ำดีไม่ชัดเจน
ส่วนการรักษา วิธีได้ผลดีที่สุดนั่นคือ การผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดถุงน้ำดีในปัจจุบัน มี 2 วิธี ได้แก่
- การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง เป็นการการผ่าตัดด้วยวิธีมาตรฐาน เหมาะกับการรักษานิ่วในถุงน้ำดีที่มีการอักเสบมากหรือแตกทะลุในช่องท้อง
- การผ่าตัดผ่านกล้อง เป็นการผ่าตัดแบบเจาะรูเล็ก ๆ ที่หน้าท้อง มีข้อดีคือ แผลเล็ก เจ็บตัวน้อย ฟื้นตัวได้ไว แต่ทั้งนี้มีข้อจำกัดในการรักษาด้วยวิธีการนี้ในกรณีที่ผู้ป่วยป่วยมีอาการถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลันเกิน 3 วัน โอกาสที่จะรักษาด้วยการผ่าตัดผ่านกล้องสำเร็จจะลดลง
รู้จักการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีด้วยวิธีส่องกล้อง
ในอดีตการผ่าตัดโรคนิ่วในถุงน้ำดีเป็นการผ่าตัดแบบเปิดแผลใหญ่เพื่อเลาะเอาถุงน้ำดีออก โดยแพทย์ต้องตัดกล้ามเนื้อหน้าท้องด้านขวาบนก่อนที่จะเข้าไปในช่องท้อง ดังนั้นคนไข้จะเจ็บแผลมาก ทำให้รู้สึกเจ็บเวลาหายใจ ซึ่งการหายใจตื้นที่ไม่เต็มปอดก็จะส่งผลให้ปอดแฟบ และปอดอักเสบในเวลาต่อมา แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการแพทย์ในปัจจุบันใช้เทคโนโลยีการผ่าตัดถุงน้ำดีแบบผ่านกล้อง (Laparoscopic cholecystectomy) มารักษาได้ มีความปลอดภัย ช่วยลดการบาดเจ็บแผลหน้าท้อง ลดการติดเชื้อ แผลมีขนาดเล็ก คนไข้เจ็บน้อย ฟื้นตัวได้ไว สามารถกลับบ้านได้ภายใน 1-2 วันหลังผ่าตัด เป็นวิธีรักษาที่เป็นมาตรฐานทั่วโลก
กระบวนการวิธีการผ่าตัดผ่านกล้อง มีดังนี้
- การเตรียมตัว แพทย์ซักประวัติ ตรวจร่างกาย และเตรียมผู้ป่วยให้พร้อมสำหรับการผ่าตัด
- การให้ยาสลบ ดมยาสลบระหว่างผ่าตัดโดยวิสัญญีแพทย์
- การเจาะช่องท้อง สอดกล้อง เปิดแผลเล็กบริเวณสะดือ ใต้ชายโครงขวา 3-4 รู เพื่อสอดกล้องและเครื่องมือการผ่าตัด ศัลยแพทย์ผ่าตัดเลาะถุงน้ำดีออก
- การปิดแผล หลังจากนำถุงน้ำดีและเครื่องมือออก ศัลยแพทย์เย็บปิดแผล
ข้อจำกัดของการผ่าตัดถุงน้ำดีผ่านกล้อง
สำหรับผู้ป่วยในบางภาวะไม่สามารถใช้วิธีการผ่าตัดแบบส่องกล้องได้ เช่น ผู้ป่วยที่มีโรคปอดและหัวใจขั้นรุนแรง คนที่เคยผ่าตัดและมีพังผืดในท้องมากๆ รวมถึงแพทย์และทีมงานจะต้องที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคการผ่าตัดด้วยกล้องโดยเฉพาะ
เนื่องจากอาการของนิ่วในถุงน้ำดี จะไม่พบอาการผิดปกติแสดงให้เห็นและมักจะตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจเช็กร่างกาย ทั้งนี้หากผู้ป่วยตรวจสอบว่าตนเองมีการปวดจุก แน่นท้อง ท้องอืด อาหารไม่ย่อย รวมถึงอาการปวดท้องต่อเนื่องนานหลายชั่วโมงหลังกินอาหาร อาจเป็นสัญญาณของนิ่วในถุงน้ำดีที่เริ่มก่อกวนร่างกาย แนะนำว่าไม่ควรชะล่าใจหรือปล่อยทิ้งไว้ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะอาการเริ่มแรก
วิธีการป้องกันโรคนิ่วในถุงน้ำดี คือ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง, ควบคุมน้ำหนัก และระดับน้ำตาลในเลือด และระดับคอเลสเตอรอล และ ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งเป็นอย่างน้อย ครั้งละ 20-30 นาที
ขอบคุณเพจ “Nicharuk Bansila”