เมื่อวันที่ 21 ม.ค. รศ.(พิเศษ) นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา ให้สัมภาษณ์ภายหลังการแถลงข่าวผลงาน กรรมการแพทยสภา วาระ 2566-2568 เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา ว่า เรื่องจริยธรรมเป็นเรื่องที่มีปัญหาค่อนข้างมาก ซึ่งตามนโยบายของกรรมการแพทยสภา ต้องการลดปัญหาคดีจริยธรรม และดำเนินการให้เสร็จสิ้นเร็วที่สุด เพราะว่าเมื่อมีการร้องเรียนจะเป็นทุกข์ทั้งสองฝ่าย ทั้งประชาชนและแพทย์ หากแพทย์ไม่ผิดก็อยากเคลียร์ให้จบ เพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลใจ ทำงานต่อได้ เพียงแต่ปัจจุบันการตัดสินของแพทยสภา ต้องเป็นตามกรอบของกฎหมายโดยเฉพาะของศาลปกครอง ถ้าทำเร็วแต่ผิดพลาดก็มีปัญหา ถ้าทำช้านานก็ไม่ดี ก็พยายามจะสร้างสมดุลให้ได้ ซึ่งในวาระกรรมการแพทยสภาที่ผ่านมา มีคดีเข้ามาเฉลี่ยเดือนละประมาณไม่ต่ำกว่า 10 เรื่อง หรือปีละประมาณ 200 กว่าเรื่อง โดย 50% คือ เรื่องโฆษณาชวนเชื่อที่ผิดจริยธรรมของแพทย์

กระบวนการพิจารณาในปัจจุบันของแพทยสภา ถือว่าดีกว่าเมื่อราวๆ 4-5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีการกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน ว่าจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาเท่าไหร่ และสามารถขยายการพิจารณาได้กี่ครั้ง หากผู้เกี่ยวข้องไม่มาให้ข้อมูลจะขยายได้เท่าไหร่ เป็นต้น โดยเบื้องต้นถ้าไม่มีมูลก็ภายใน 6 เดือนไม่ให้เกิน 1 ปีต้องจบ แต่ถ้ามีมูล ต้องมีการสอบสวนเชิงลึก กำหนดกรอบการพิจารณาเอาไว้ไม่เกิน 2 ปี ยกเว้นบางคดีที่จำเป็นต้องนานจริงๆ เช่น คดีที่ขึ้นสู่ศาล ทางแพทยสภาก็จำเป็นจะต้องรอผลการพิจารณาตัดสินก่อน เพราะถ้าแพทยสภาตัดสินออกมาแล้วไม่ตรงกันก็จะเป็นปัญหา ซึ่งเคยมีกรณีแบบนี้ขึ้นมาแล้ว และเป็นเรื่องใหญ่ กรณีที่แพทย์ถูกแพทยสภาตัดสินเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพ แต่ศาลตัดสินภายหลังว่าไม่ผิด ดังนั้น คดีที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลนั้น แพทยสภาจำเป็นต้องรอ ซึ่งก็ไม่สามารถทราบได้ว่ากระบวนการพิจารณาของศาลจะใช้เวลานานเท่าไหร่ 

“เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว มีคดีค้างอยู่ 500-600 คดี ตอนนี้เฉลี่ยแล้วก็มีอยู่ประมาณ 200 คดี คือหายไปครึ่งหนึ่ง ซึ่ง 200 คดีนี้ ก็ตรงกับเคสใหม่ที่เข้ามาแต่ละปีอยู่แล้ว ก็แปลว่าคดีค้างลดลงไปมาก มีการเพิ่มกระบวนการอะไรให้มันคล่องตัว ใช้เอกสารดิจิทัล มีการประสานงาน ปัญหาหลักๆ ของเราส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากแพทยสภาแล้ว ตอนนี้เกิดจากผู้ร้อง หรือผู้ถูกร้องทั้งหมด เช่น ติดตามแล้วขอให้ข้อมูลแล้วต้องรอเขา เพราะไม่สะดวก ติดต่อไม่ได้ หรือเปลี่ยนใจ บางทีเปลี่ยนใจจะไม่ร้องก็เลยไม่ค่อยร่วมมือกับเรา หรือหมอก็ไม่ค่อยมา บางทีคุณหมอก็อาจจะติดงานหรือด้วยเหตุผลใด บางทีก็ส่งเป็นหนังสือมาซึ่งมันไม่เหมือนกับมาพูดคุยกันต่อหน้า” รศ.(พิเศษ) นพ.เมธี กล่าว 

รศ.(พิเศษ) นพ.เมธี กล่าวต่อว่า แพทยสภาพยายามสร้างสมดุล ไม่ให้เป็นการลงโทษที่เบาไปแล้ว ทำให้มีการกลับมาทำผิดซ้ำด้วย โดยการออกประกาศแพทยสภา ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ. 2568 จะมีการเพิ่มโทษใน 4 ฐานความผิด เรื่องหนึ่งคือการโฆษณาเกินจริง เพราะฉะนั้น เรื่องร้องเรียนที่เข้าสู่แพทยสภาหลังวันที่ 9 ก.พ. 2568 ก็จะโดนโทษตามประกาศใหม่ แม้จะเป็นความผิดครั้งแรก คือ อาจจะไม่มีการตักเตือนหรือภาคทัณฑ์ แต่จะพักใช้ใบอนุญาตเลย

“ที่ผ่านมาใช้ความเมตตาปรานี ก็คือว่ากล่าวตักเตือน แต่ลงโทษแล้วปรากฏว่ามีคดีซ้ำๆ เข้ามาเรื่อยๆ หลายคดีเป็นแพทย์คนเดิม ก็คิดว่ากระบวนการลงโทษน่าจะมีปัญหาก็ เลยต้องต้องปรับปรุง เพราะแพทยสภามีหน้าที่สำคัญ เป็นผู้กำกับดูแลและปกป้องประชาชนให้มั่นใจว่าได้รับการรักษาที่ถูกต้อง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องดูแลแพทย์ด้วย” รศ.(พิเศษ) นพ.เมธี กล่าว 

รศ.(พิเศษ) นพ.เมธี กล่าวอีกว่า เมื่อประมาณเดือน พ.ย. 2567 ศาลมีคำพิพากษาที่เพื่อนแพทย์อาจจะยังไม่ทราบ คือ การโฆษณาเกินจริงที่มีคดีไปถึงศาล ซึ่งเป็นการโฆษณาเกินจริงในเนื้อหาสาระ ศาลระบุว่า เป็นการหลอกลวงและฉ้อโกง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานฉ้อโกง โทษจำคุก 3 ปี และการโฆษณาเกินจริงของแพทย์ที่กระทำผ่านโซเชียลมีเดีย ก็มีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีโทษจำคุกอีก 3 ปี แปลว่าศาลมีการสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้แล้วว่า การที่แพทย์ให้ข้อมูลไม่ตรงตามความจริงนั้น ศาลเคยมีการตัดสินเรียบร้อยแล้วว่าเป็นการฉ้อโกงและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ เฉพาะคดีอาญานี้ก็ผิด 2 กฎหมายแล้ว นอกจากนี้ ศาลยังยังใช้มาตรฐานใหม่ในคดีนี้ กรณีคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งเจ้าของ เอเจนซี่ ที่หาคนไข้มาให้ ถือว่าร่วมกันทำ แปลว่าร่วมกันฉ้อโกงและหลอกลวง เพราะฉะนั้น หากแพทยสภาไม่มาคุมการกระทำแบบนี้ของแพทย์ แล้วให้คดีขึ้นสู่ศาลมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายแพทย์ก็จะเสียหายทั่วประเทศ

“แม้ว่าแพทยสภาจะใช้โทษแบบเดิมตักเตือนหรือภาคทัณฑ์ แต่ถ้าเป็นคดีไปถึงศาล แล้วศาลมีคำพิพากษาจำคุกนั้น แพทยสภาก็ต้องนำมาพิจารณา หากต้องโทษจำคุกถึงที่สุดของศาล ก็อาจจะโดนเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ถึงแม้เป็นความผิดครั้งแรก ซึ่งการที่แพทยสภาเพิ่มโทษเป็นพักใช้ใบอนุญาตระยะสั้น ระยะกลาง ความรุนแรงของโทษ ยังเทียบไม่ได้กับการถูกเพิกถอนใบอนุญาตโดยคำพิพากษาจำคุกของศาล” รศ.(พิเศษ) นพ.เมธี กล่าว